เรื่องและภาพ: ฟิซซา ชาฮีน อวัน
“ปากคลองตลาดคือแหล่งท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่า ‘ย่าน’ ด้วย มันไม่ใช่สถานที่เดียวที่คุณต้องมา แต่มันเป็นย่านที่คุณต้องเดิน”
กิตติศักดิ์ เฮงพระพรหม หรือ ตั้ม วัย 36 ปี เจ้าของร้านเนื้อหอมคาเฟ่เล่า หลังเสิร์ฟอาหารให้ผู้มาเยือน
หากลองเดินตามคำแนะนำข้างต้น เราจะพบว่า ปากคลองตลาดเต็มไปด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งร้านดอกไม้สองข้างถนนจักรเพชร แผงขายผักในตลาดส่งเสริมเกษตรไทย ร้านมาลัยและแผงดอกไม้ในตลาดพิมาน ร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table ในซอยบ้านหม้อ ตลอดไปจนถึงคาเฟ่มากมายที่ค่อย ๆ ผลัดเวียนกันเปิดร้านในช่วง 5 ปีมานี้
นอกจากด้านธุรกิจ ปากคลองตลาดยังเต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน บ้างเป็นพ่อค้าแม่ขายที่อยู่ปากคลองมากตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า บ้างเข้ามาแค่เพราะมองว่าเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพ
สิ่งที่ยึดผู้คนเหล่านี้ไว้ จึงไม่ใช่ความผูกพันหรือความรักในพื้นที่ปากคลองเพียงอย่างเดียว
ช่วงเวลาเที่ยงคืน ณ ตลาดส่งเสริมเกษตรไทย
อยู่ปากคลองเพราะ “ไม่ต้องคิดเยอะ”
‘ร้านเล็ก ร้านร้อน ร้านลับ’ เป็นคำที่ตั้มใช้นิยามร้านอาหารไม่ติดแอร์ของตน เนื้อหอมคาเฟ่ตั้งอยู่ริมถนนบ้านหม้อ อาจเรียกได้ว่าเป็นร้านลับเพราะในซอยค่อนข้างเงียบเหงา ไม่ได้คึกครื้นเมื่อเทียบกับถนนจักรเพชร ถนนเส้นหลักของตลาดดอกไม้
ตั้มย้ายมาเปิดร้านที่ปากคลองเกือบจะสองปีมาแล้ว การย้ายมาครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกับ น้ำ ภรรยาที่ประกอบอาชีพช่างสัก ทั้งสองเช่าตึกสามชั้นร่วมกัน ใช้พื้นที่ชั้นล่างเป็นเวทีแสดงฝีมือการทำอาหารของเชฟตั้ม และชั้นสองถูกใช้เป็นสตูดิโอสักของช่างน้ำ
หน้าร้านเนื้อหอมคาเฟ่ เชฟตั้มเล่าว่าอาหารมักจะหมดก่อนสี่โมง
“แต่ก่อนร้านเราอยู่อิสรภาพ ฝั่งนั้นเอนเกจเยอะนะ แต่ทั้งหมดคือ 100% อยากมาร้านเรา เราต้องขยันทำคอนเทนต์ ขยันทำทุกอย่าง มันสนุกแต่มันก็เบิร์นเอาท์… แต่พอมาตรงนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรจะมีคนแวะมาดู มาเล่นกับเราเสมอ บางครั้งมันไม่เวิร์ค ก็ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ ไม่ต้องคิดเยอะ”
ตั้มเล่าถึงความแตกต่างของสองทำเล ที่เดิมอาศัยการปล่อยเนื้อหาทางโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด จึงทำให้รู้สึกหมดพลังได้ง่าย เพราะต้องดึงดูดความสนใจของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เทียบกับการทำงานที่ปากคลองที่ไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าร้านเก่า เพราะได้พบปะทั้งกับลูกค้าใหม่ ๆ อย่างนักท่องเที่ยวและลูกค้าประจำที่เป็นคนในชุมชนเอง
กิตติศักดิ์ เฮงพระพรหม เจ้าของร้านเนื้อหอมคาเฟ่
“จุดเด่นที่เราชอบของปากคลองคือ ความยี่สิบสี่ชั่วโมง สิ่งที่เราเห็นจากปากคลองตลอดเวลาคือมันไม่หลับ แต่ละช่วงก็จะเห็นอะไรที่ต่างกันไป มันเหมือนล้อที่หมุนไปเรื่อย ๆ ไม่เคยหยุด”
อยู่ปากคลองเพราะโตมากับดอกไม้
“ถามว่าสนใจเรื่องดอกไม้ไหม ก็เฉย ๆ นะ แต่มันก็เป็นอาชีพทีเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กเพราะที่บ้านขายมาตลอด ก็เลยค่อนข้างผูกพัน” อัครณัฐ เนี่ยมแจ่ม หรือ เก็ต วัย 27 ปี เจ้าของร้าน All Flora เล่าให้ฟัง
All Flora เป็นร้านใหม่ย่านปากคลองตลาด ก่อนที่จะเป็นร้านดอกไม้ เจ้าของเดิมเปิดเป็นคาเฟ่และร้านอาหารมาก่อน ในร้านจึงตกแต่งเหมือนเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ
ร้าน All Flora ริมถนนจักรเพชร
เก็ตเล่าว่าช่วงเดือนแรก ร้านจะรับดอกไม้ทั้งหมดมาจากเชียงใหม่กับแม่สอด แต่พอเปิดมาได้สักพัก ก็หันไปใช้ดอกไม้จากทางจีนและมาเลเซีย เนื่องจากร้านไม่ได้ติดแอร์ หากใช้ดอกไม้ไทยที่มีความทนต่อสภาพอากาศน้อยกว่าของนอก ก็จะทำให้ดอกไม้เหี่ยวง่ายกว่า
“ร้านเราเพิ่งเปิดได้ 5 เดือน พอกลุ่มวัยรุ่นเริ่มเข้ามา ปากคลองตลาดเริ่มมีเทรนด์ซื้อดอกไม้ไปถ่ายรูป เราก็มองว่าเป็นโอกาส เลยเจาะกลุ่มวัยรุ่นไปเลย” เก็ตว่าพลางชี้ให้เห็นชั้นวางดอกไม้ ที่แบ่งดอกไม้นานาพันธุ์ ขายดอกละ 20-50 บาท โดยเน้นให้กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเลือกสรรดอกไม้ในราคาเป็นมิตรใส่ช่อของตัวเอง พร้อมบริการห่อดอกไม้ให้ฟรี
ชั้นวางดอกไม้ที่ลองตั้งเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น
“ที่ชอบคือรู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองและแสดงความยินดี บางคนก็ซื้อไปง้อแฟน แล้วก็กลับมาบอกว่า ‘พี่ หนูง้อสำเร็จแล้ว ขอบคุณสำหรับดอกไม้”
อยู่ปากคลองเพราะเป็นอิสระ
ทุกวัน พรสุข สุดสวาท หรือ ขวัญ อายุ 50 ปี เจ้าของร้านขวัญกุหลาบริมถนนจักรเพชร จะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อดอกกุหลาบกำละ 50 ดอก กว่า 100 กำด้วยตัวเอง ก่อนนำไปวางขาย
กุหลาบกว่า 100 กำที่ขวัญห่อด้วยตนเอง
“เมื่อก่อนเคยทำงานที่โรงงานแล้วถึงค่อยมาขายกุหลาบ ขายกุหลาบมันดีนะ เป็นลูกจ้างเขากับเป็นเจ้านายตัวเองมันก็คนละอารมณ์ อันนี้เราสามารถจัดการอะไรก็ได้” ขวัญเล่าพลางห่อดอกกุหลาบไปเรื่อย ๆ
ขวัญเล่าให้ฟังว่าเธอช่วยแม่ขายดอกไม้ที่ปากคลองมากว่า 30 ปี แต่ก่อนก็จะเน้นขายเป็นแผงลอยริมฟุตบาท จนประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เธอจึงเริ่มเปิดร้านกุหลาบเป็นของตัวเอง
พรสุข สุดสวาท เจ้าของร้านขวัญกุหลาบ
“กุหลาบนี่ถือว่าเป็นดอกไม้ที่ใช้ได้ทุกอย่าง ขายได้ยันวินาทีสุดท้าย ถ้าขายไม่หมดก็เอาไปแช่ถัง กลีบก็ไว้โปรยเช็งเม้ง ใบเสียก็หักดอกเอาไปร้อยมาลัย สามารถทำได้หลายอย่าง”
เนื่องจากขวัญเคยทั้งช่วยแม่ขายดอกไม้ริมฟุตบาทและมีปัจจุบันมีร้านของตัวเอง เธอจึงเปรียบเทียบให้ฟังว่า การมีหน้าร้านทำให้ลำบากน้อยลงมาก เพราะหากไม่มีหน้าร้าน เวลาขายดอกไม้ไม่ออก ก็ไม่รู้จะไปเก็บดอกไม้ไว้ที่ไหน ส่วนใหญ่แม่ค้าพ่อค้าตามฟุตบาทเลยมักจะขายส่งให้คนที่มีหน้าร้าน อาจจะขาดทุนบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่สามารถขายอะไรได้เลย
“ขายของมันไม่ได้ขายดีทุกวัน บางวันขายไม่ได้เราก็ต้องทำใจ แต่อยู่ที่ปากคลองเนี่ย ถ้าขยันยังไงก็ไม่อดตาย สุดท้ายตลาดมันเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ถ้ามีคนมา เราก็ขายได้”
อยู่ปากคลองเพราะอยากพัฒนาพันธุ์ดาวเรืองในประเทศไทย
นายเฉลิมชัย ชิตกร อายุ 56 ปี หรือที่คนปากคลองมักจะรู้จักในชื่อ ‘เฮียเฉลิม’ เจ้าของร้านดาวเรืองทองเฉลิม ที่ตั้งอยู่ริมถนนจักรเพชร เขาอยู่ปากคลองตลาดมากว่า 20 ปี ในอดีตเคยประกอบอาชีพเร่ขายของ แล้วเข้ามาปากคลองเพื่อซื้อดอกไม้ไปขายต่อ เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงกว่าการเร่ขายของ
ถุงดาวเรืองในร้านที่เตรียมไว้ขายในแต่ละวัน
เฮียเฉลิมเริ่มจากการซื้อดอกไม้นานาชนิดเพื่อมาขายอีกที จนสุดท้ายขายเพียงดอกดาวเรือง และผันตัวไปเป็นผู้เพาะพันธุ์ดาวเรือง จากความคิดที่อยากจะต่อยอดและเติบโตในวงการดอกไม้
“เวลาเราขายดาวเรือง เราต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทต่างชาติ ผมเลยมีความคิดว่า ถ้าเราผลิตเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองได้ เราก็จะเลือกสายพันธุ์เองได้ ผมเลยพัฒนาสายพันธุ์ดาวเรือง ชื่อสายพันธุ์ทองเฉลิม โดยแก้ปัญหาที่เราพบจากพันธุ์ดาวเรืองของต่างชาติ”
เฮียเฉลิมเล่าว่าปัญหาส่วนใหญ่ของสายพันธุ์ต่างชาติที่พบคือ ความไม่ทนต่อสภาพอากาศและสีสันไม่สวย จึงพัฒนาดาวเรืองให้มีสีเหลืองสดใสและทนทานมากขึ้น
เฉลิมชัย ชิตกร เจ้าของร้านทองเฉลิม
นอกจากการค้าดอกดาวเรืองแล้ว เฮียเฉลิมยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่โดยใช้สารสกัดจากดอกดาวเรืองเป็นส่วนประกอบ เช่น กาแฟและครีมบำรุง โดยเริ่มศึกษาวิธีทำด้วยตนเอง จากนั้นจึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ประคองศิริ บุญคง ที่ปรึกษากองพัฒนายาไทยและสมุนไพรไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มี นโยบายส่งเสริมสินค้าโอท็อป
ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดดอกดาวเรืองที่เฉลิมพัฒนาขึ้น
ณ เวลานั้นภาครัฐให้การสนับสนุนเฮียเฉลิมในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องการจะต่อยอดสินค้าเกษตรไทย การปรึกษาและการดำเนินงานจึงไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สินค้าก็มาเสร็จในช่วงการระบาดของโควิด-19 จึงไม่สามารถสั่งผลิตและดำเนินการขายต่อได้
ปัจจุบันเฮียเฉลิมกำลังดำเนินการขายผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า ‘ไทยบลอสซั่มโกลด์’ โดยจะเน้นให้เป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วในอนาคตจึงอาจจะมีอาจลงขายที่หน้าร้านมากขึ้น
ปากคลองที่เป็นมากกว่าตลาด แต่คือย่านเศรษฐกิจ
“ปากคลองมันคือ destination มันคือสถานที่ที่เป็น one-day trip ได้ เริ่มเที่ยวตั้งแต่เช้าตรู่ เที่ยวจนถึงกลางคืนแล้วคุณค่อยกลับก็ยังได้ มันมีอะไรให้ทำ เดินดูดอกไม้ เข้ามากิน เที่ยว รับความรู้ นั่งชิว มันทำได้หมด ปากคลองไม่ใช่ถนน แต่มันเป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์”
ตั้มฉายภาพให้เห็นแต่ละองค์ประกอบที่ทำให้ปากคลองมีคุณสมบัติเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ
ตั้งแต่ขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็น MRT หรือ ท่าเรือด่วนเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม และสะพานพุทธที่เป็นจุดถ่ายรูปและชมวิว
“ปากคลองไม่ต้องเปลื่ยนอะไรก็ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน แค่อยากให้เพิ่มการออกแบบ เช่น public space (พื้นที่สาธารณะ) หรือ urban design (การออกแบบชุมชนเมือง) ออกแบบการบริการในย่านนี้ ลองทำเป็น around-ticket มั้ย มี stamp ตามสถานที่ที่ไป” ตั้มมองว่าการใช้ศาสตร์การเล่าเรื่องมาจับกับชุมชน จะยิ่งทำให้คนมาเที่ยวชุมชนมากขึ้น
เก็ตในฐานะผู้ประกอบการมองว่า ภาครัฐควรจัดกิจกรรมเพื่อดึงคนเข้ามาทำให้ตลาดคึกครื้นขึ้น เห็นได้จากการเข้ามาของกลุ่มวัยรุ่นที่มาซื้อดอกไม้ไปถ่ายรูป ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าได้
ขวัญเห็นด้วยกับการที่ภาครัฐควรจัดกิจกรรมเพิ่มขึ้น เธอยกตัวอย่างการจัดงานจุดพลุในช่วงเดือนธันวาคม 2566 (กิจกรรมฉลองปีใหม่ของ กทม.) ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มยอดขายให้ร้านเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ขวัญมองว่ากลุ่มลูกค้าวัยรุ่นยังไม่ใช่ตัวแปรสำคัญสำหรับร้านค้าดอกไม้ส่ง เนื่องจากวัยรุ่นจะสนใจดอกไม้ที่จัดมาเป็นช่อแล้วมากกว่า เทศกาลที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านของขวัญ จึงมักจะเป็นเทศกาลไหว้ครู เทศกาลปัจฉิม และช่วงวันโกน วันพระ
ตั้มเสริมด้วยว่า อยากให้ภาครัฐเปิดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่มากขึ้น
“เราเข้าใจว่ารัฐบาลมีงบประมาณเสมอแหละ แต่เราก็จะไม่รู้ว่ารัฐบาลจะมีงบส่วนไหนให้เราบ้าง อยากให้รัฐอธิบายว่าถ้ามีใครสักคน ต้องการอะไรสักอย่าง เราควรจะไปหาใคร ต้องไปประสานงานกับใคร”
ปากคลองที่ออกแบบจากเสียงสะท้อนของประชาชน
ศศิธร ประสิทธิ์พรอุดม ส.ก. เขตพระนคร เล่าว่าตั้งแต่มีการจัดระเบียบพื้นที่ปากคลองตลาด เมื่อปี 2559 นักท่องเที่ยวที่มาถึงถนนจักรเพชรมักจะตั้งคำถามว่า “Where is the flower market?” ซึ่งสะท้อนว่า นักท่องเที่ยวยังติดภาพจำว่าปากคลองตลาดจะมีการขายดอกไม้ริมทางเท้า เมื่อสิ่งนี้หายไป ทำให้เขาดูไม่ออกว่านี่คือปากคลองตลาด การที่ปากคลองตลาดไม่มีการค้าขายดอกไม้ริมถนนจึงเปรียบเสมือนอัตลักษณ์ที่หายไป
ศศิธร ประสิทธิ์พรอุดม ส.ก. เขตพระนคร
ศศิธรเสนอว่า หากการขายดอกไม้ริมทางเท้าสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ก็ควรนำกลับมา เพียงแต่อาจเพิ่มการจัดระเบียบหรือการตั้งเงื่อนไขว่าขายได้แค่ในช่วงที่นักท่องเที่ยวมักจะมาอย่าง วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยไม่เบียดพื้นที่ร้านค้าและที่อยู่อาศัย อีกทั้ง ส.ก. ก็จะทำหน้าที่ฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนเพื่อปรับปรุงแก้ไขและหาจุดร่วมทั้งสำหรับผู้ที่ใช้ทางเท้า
สำหรับการเดินและผู้ที่ใช้พื้นที่ทางเท้าในการประกอบอาชีพ เนื่องจากการจะจัดระเบียบและออกแบบทางเท้า จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของพื้นที่ เช่น การที่พ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถเข้าถึงก๊อกน้ำสาธารณะได้ ทำให้ต้องราดน้ำมันที่เหลือจากการประกอบอาหารทิ้งบนทางเท้า ทางเท้าจึงเสื่อมสภาพ อีกทั้งจำนวนผู้สูงอายุในเขตพระนครที่มีมาก การออกแบบทางเท้าก็ควรเน้นไปที่ทางเท้ากันลื่นและราวจับเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ศศิธรมองว่าการดำเนินงานเชิงนโยบายจำเป็นต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย โดยเป็นการจัดการร่วมกันทั้งฝ่ายบริหาร (ผู้ว่าราชการกทม.) ฝ่ายนิติบัญญัติ (ส.ก.) สำนักงานเขต เทศกิจ ผู้ค้าหาบเร่ ผู้ค้าในตึก เพื่อลดช่องว่างระหว่างภาครัฐและประชาชน
“ทุกอย่างมีเหรียญสองด้าน ถ้าวันนี้เราคุยเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ เราให้เขาขาย แต่เราก็ต้องประชาสัมพันธ์ว่าเราทำไปทำไม เพราะถ้าเขารับรู้ เขาจะเข้าใจ อะไรที่เป็นครั้งแรกคนมันตื่นตระหนกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา”
ส.ก.เขตพระนครยังมองว่าที่ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลจากภาครัฐ เพราะภาครัฐไม่ได้ทำประชาพิจารณ์ และไม่ได้ดึง ส.ก. เข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงริเริ่มนโยบาย
“ถ้าอย่างน้อยฝ่ายนโยบายดึง ส.ก. ไปมีส่วนร่วม เราอาจจะสามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้ เพราะเราลงพื้นที่ตลอด เรารู้ว่าอะไรคือปัญหา ในขณะที่คนอยู่ด้านบน 50 เขต 50 ความคิด อะไรที่ใช้ได้ผลกับเขตนึง อาจไม่ได้ผลกับอีกเขตหนึ่ง”
ศศิธรเชื่อว่าปากคลองตลาดถือเป็นตลาดที่ส่งเสริมการเกษตรของไทย เพราะมีทั้งตลาดเอกชน ตลาดยอดพิมาน โดยเฉพาะ ‘ตลาดส่งเสริมเสริมเกษตรไทย’ ที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกแล้วไม่พื้นที่ในการขาย
“อยากให้ภาครัฐทั้งกทม. เขต และตัวเราด้วย ประสานงบลงมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” ศศิธรกล่าว
เรื่องและภาพ: ฟิซซา ชาฮีน อวัน
หากลองเดินตามคำแนะนำข้างต้น เราจะพบว่า ปากคลองตลาดเต็มไปด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งร้านดอกไม้สองข้างถนนจักรเพชร แผงขายผักในตลาดส่งเสริมเกษตรไทย ร้านมาลัยและแผงดอกไม้ในตลาดพิมาน ร้านอาหารสไตล์ Chef’s Table ในซอยบ้านหม้อ ตลอดไปจนถึงคาเฟ่มากมายที่ค่อย ๆ ผลัดเวียนกันเปิดร้านในช่วง 5 ปีมานี้
นอกจากด้านธุรกิจ ปากคลองตลาดยังเต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน บ้างเป็นพ่อค้าแม่ขายที่อยู่ปากคลองมากตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า บ้างเข้ามาแค่เพราะมองว่าเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพ
สิ่งที่ยึดผู้คนเหล่านี้ไว้ จึงไม่ใช่ความผูกพันหรือความรักในพื้นที่ปากคลองเพียงอย่างเดียว
อยู่ปากคลองเพราะ “ไม่ต้องคิดเยอะ”
‘ร้านเล็ก ร้านร้อน ร้านลับ’ เป็นคำที่ตั้มใช้นิยามร้านอาหารไม่ติดแอร์ของตน เนื้อหอมคาเฟ่ตั้งอยู่ริมถนนบ้านหม้อ อาจเรียกได้ว่าเป็นร้านลับเพราะในซอยค่อนข้างเงียบเหงา ไม่ได้คึกครื้นเมื่อเทียบกับถนนจักรเพชร ถนนเส้นหลักของตลาดดอกไม้
ตั้มย้ายมาเปิดร้านที่ปากคลองเกือบจะสองปีมาแล้ว การย้ายมาครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกับ น้ำ ภรรยาที่ประกอบอาชีพช่างสัก ทั้งสองเช่าตึกสามชั้นร่วมกัน ใช้พื้นที่ชั้นล่างเป็นเวทีแสดงฝีมือการทำอาหารของเชฟตั้ม และชั้นสองถูกใช้เป็นสตูดิโอสักของช่างน้ำ
“แต่ก่อนร้านเราอยู่อิสรภาพ ฝั่งนั้นเอนเกจเยอะนะ แต่ทั้งหมดคือ 100% อยากมาร้านเรา เราต้องขยันทำคอนเทนต์ ขยันทำทุกอย่าง มันสนุกแต่มันก็เบิร์นเอาท์… แต่พอมาตรงนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรจะมีคนแวะมาดู มาเล่นกับเราเสมอ บางครั้งมันไม่เวิร์ค ก็ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ ไม่ต้องคิดเยอะ”
ตั้มเล่าถึงความแตกต่างของสองทำเล ที่เดิมอาศัยการปล่อยเนื้อหาทางโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด จึงทำให้รู้สึกหมดพลังได้ง่าย เพราะต้องดึงดูดความสนใจของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เทียบกับการทำงานที่ปากคลองที่ไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าร้านเก่า เพราะได้พบปะทั้งกับลูกค้าใหม่ ๆ อย่างนักท่องเที่ยวและลูกค้าประจำที่เป็นคนในชุมชนเอง
อยู่ปากคลองเพราะโตมากับดอกไม้
“ถามว่าสนใจเรื่องดอกไม้ไหม ก็เฉย ๆ นะ แต่มันก็เป็นอาชีพทีเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กเพราะที่บ้านขายมาตลอด ก็เลยค่อนข้างผูกพัน” อัครณัฐ เนี่ยมแจ่ม หรือ เก็ต วัย 27 ปี เจ้าของร้าน All Flora เล่าให้ฟัง
All Flora เป็นร้านใหม่ย่านปากคลองตลาด ก่อนที่จะเป็นร้านดอกไม้ เจ้าของเดิมเปิดเป็นคาเฟ่และร้านอาหารมาก่อน ในร้านจึงตกแต่งเหมือนเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ
เก็ตเล่าว่าช่วงเดือนแรก ร้านจะรับดอกไม้ทั้งหมดมาจากเชียงใหม่กับแม่สอด แต่พอเปิดมาได้สักพัก ก็หันไปใช้ดอกไม้จากทางจีนและมาเลเซีย เนื่องจากร้านไม่ได้ติดแอร์ หากใช้ดอกไม้ไทยที่มีความทนต่อสภาพอากาศน้อยกว่าของนอก ก็จะทำให้ดอกไม้เหี่ยวง่ายกว่า
“ร้านเราเพิ่งเปิดได้ 5 เดือน พอกลุ่มวัยรุ่นเริ่มเข้ามา ปากคลองตลาดเริ่มมีเทรนด์ซื้อดอกไม้ไปถ่ายรูป เราก็มองว่าเป็นโอกาส เลยเจาะกลุ่มวัยรุ่นไปเลย” เก็ตว่าพลางชี้ให้เห็นชั้นวางดอกไม้ ที่แบ่งดอกไม้นานาพันธุ์ ขายดอกละ 20-50 บาท โดยเน้นให้กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเลือกสรรดอกไม้ในราคาเป็นมิตรใส่ช่อของตัวเอง พร้อมบริการห่อดอกไม้ให้ฟรี
อยู่ปากคลองเพราะเป็นอิสระ
ทุกวัน พรสุข สุดสวาท หรือ ขวัญ อายุ 50 ปี เจ้าของร้านขวัญกุหลาบริมถนนจักรเพชร จะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อดอกกุหลาบกำละ 50 ดอก กว่า 100 กำด้วยตัวเอง ก่อนนำไปวางขาย
“เมื่อก่อนเคยทำงานที่โรงงานแล้วถึงค่อยมาขายกุหลาบ ขายกุหลาบมันดีนะ เป็นลูกจ้างเขากับเป็นเจ้านายตัวเองมันก็คนละอารมณ์ อันนี้เราสามารถจัดการอะไรก็ได้” ขวัญเล่าพลางห่อดอกกุหลาบไปเรื่อย ๆ
ขวัญเล่าให้ฟังว่าเธอช่วยแม่ขายดอกไม้ที่ปากคลองมากว่า 30 ปี แต่ก่อนก็จะเน้นขายเป็นแผงลอยริมฟุตบาท จนประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เธอจึงเริ่มเปิดร้านกุหลาบเป็นของตัวเอง
เนื่องจากขวัญเคยทั้งช่วยแม่ขายดอกไม้ริมฟุตบาทและมีปัจจุบันมีร้านของตัวเอง เธอจึงเปรียบเทียบให้ฟังว่า การมีหน้าร้านทำให้ลำบากน้อยลงมาก เพราะหากไม่มีหน้าร้าน เวลาขายดอกไม้ไม่ออก ก็ไม่รู้จะไปเก็บดอกไม้ไว้ที่ไหน ส่วนใหญ่แม่ค้าพ่อค้าตามฟุตบาทเลยมักจะขายส่งให้คนที่มีหน้าร้าน อาจจะขาดทุนบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่สามารถขายอะไรได้เลย
อยู่ปากคลองเพราะอยากพัฒนาพันธุ์ดาวเรืองในประเทศไทย
นายเฉลิมชัย ชิตกร อายุ 56 ปี หรือที่คนปากคลองมักจะรู้จักในชื่อ ‘เฮียเฉลิม’ เจ้าของร้านดาวเรืองทองเฉลิม ที่ตั้งอยู่ริมถนนจักรเพชร เขาอยู่ปากคลองตลาดมากว่า 20 ปี ในอดีตเคยประกอบอาชีพเร่ขายของ แล้วเข้ามาปากคลองเพื่อซื้อดอกไม้ไปขายต่อ เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงกว่าการเร่ขายของ
เฮียเฉลิมเริ่มจากการซื้อดอกไม้นานาชนิดเพื่อมาขายอีกที จนสุดท้ายขายเพียงดอกดาวเรือง และผันตัวไปเป็นผู้เพาะพันธุ์ดาวเรือง จากความคิดที่อยากจะต่อยอดและเติบโตในวงการดอกไม้
เฮียเฉลิมเล่าว่าปัญหาส่วนใหญ่ของสายพันธุ์ต่างชาติที่พบคือ ความไม่ทนต่อสภาพอากาศและสีสันไม่สวย จึงพัฒนาดาวเรืองให้มีสีเหลืองสดใสและทนทานมากขึ้น
นอกจากการค้าดอกดาวเรืองแล้ว เฮียเฉลิมยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่โดยใช้สารสกัดจากดอกดาวเรืองเป็นส่วนประกอบ เช่น กาแฟและครีมบำรุง โดยเริ่มศึกษาวิธีทำด้วยตนเอง จากนั้นจึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ประคองศิริ บุญคง ที่ปรึกษากองพัฒนายาไทยและสมุนไพรไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มี นโยบายส่งเสริมสินค้าโอท็อป
ณ เวลานั้นภาครัฐให้การสนับสนุนเฮียเฉลิมในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องการจะต่อยอดสินค้าเกษตรไทย การปรึกษาและการดำเนินงานจึงไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สินค้าก็มาเสร็จในช่วงการระบาดของโควิด-19 จึงไม่สามารถสั่งผลิตและดำเนินการขายต่อได้
ปัจจุบันเฮียเฉลิมกำลังดำเนินการขายผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า ‘ไทยบลอสซั่มโกลด์’ โดยจะเน้นให้เป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วในอนาคตจึงอาจจะมีอาจลงขายที่หน้าร้านมากขึ้น
ปากคลองที่เป็นมากกว่าตลาด แต่คือย่านเศรษฐกิจ
ตั้มฉายภาพให้เห็นแต่ละองค์ประกอบที่ทำให้ปากคลองมีคุณสมบัติเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ
ตั้งแต่ขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็น MRT หรือ ท่าเรือด่วนเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม และสะพานพุทธที่เป็นจุดถ่ายรูปและชมวิว
“ปากคลองไม่ต้องเปลื่ยนอะไรก็ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน แค่อยากให้เพิ่มการออกแบบ เช่น public space (พื้นที่สาธารณะ) หรือ urban design (การออกแบบชุมชนเมือง) ออกแบบการบริการในย่านนี้ ลองทำเป็น around-ticket มั้ย มี stamp ตามสถานที่ที่ไป” ตั้มมองว่าการใช้ศาสตร์การเล่าเรื่องมาจับกับชุมชน จะยิ่งทำให้คนมาเที่ยวชุมชนมากขึ้น
เก็ตในฐานะผู้ประกอบการมองว่า ภาครัฐควรจัดกิจกรรมเพื่อดึงคนเข้ามาทำให้ตลาดคึกครื้นขึ้น เห็นได้จากการเข้ามาของกลุ่มวัยรุ่นที่มาซื้อดอกไม้ไปถ่ายรูป ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าได้
ขวัญเห็นด้วยกับการที่ภาครัฐควรจัดกิจกรรมเพิ่มขึ้น เธอยกตัวอย่างการจัดงานจุดพลุในช่วงเดือนธันวาคม 2566 (กิจกรรมฉลองปีใหม่ของ กทม.) ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มยอดขายให้ร้านเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ขวัญมองว่ากลุ่มลูกค้าวัยรุ่นยังไม่ใช่ตัวแปรสำคัญสำหรับร้านค้าดอกไม้ส่ง เนื่องจากวัยรุ่นจะสนใจดอกไม้ที่จัดมาเป็นช่อแล้วมากกว่า เทศกาลที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านของขวัญ จึงมักจะเป็นเทศกาลไหว้ครู เทศกาลปัจฉิม และช่วงวันโกน วันพระ
ตั้มเสริมด้วยว่า อยากให้ภาครัฐเปิดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่มากขึ้น
ปากคลองที่ออกแบบจากเสียงสะท้อนของประชาชน
ศศิธร ประสิทธิ์พรอุดม ส.ก. เขตพระนคร เล่าว่าตั้งแต่มีการจัดระเบียบพื้นที่ปากคลองตลาด เมื่อปี 2559 นักท่องเที่ยวที่มาถึงถนนจักรเพชรมักจะตั้งคำถามว่า “Where is the flower market?” ซึ่งสะท้อนว่า นักท่องเที่ยวยังติดภาพจำว่าปากคลองตลาดจะมีการขายดอกไม้ริมทางเท้า เมื่อสิ่งนี้หายไป ทำให้เขาดูไม่ออกว่านี่คือปากคลองตลาด การที่ปากคลองตลาดไม่มีการค้าขายดอกไม้ริมถนนจึงเปรียบเสมือนอัตลักษณ์ที่หายไป
ศศิธรเสนอว่า หากการขายดอกไม้ริมทางเท้าสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ก็ควรนำกลับมา เพียงแต่อาจเพิ่มการจัดระเบียบหรือการตั้งเงื่อนไขว่าขายได้แค่ในช่วงที่นักท่องเที่ยวมักจะมาอย่าง วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยไม่เบียดพื้นที่ร้านค้าและที่อยู่อาศัย อีกทั้ง ส.ก. ก็จะทำหน้าที่ฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนเพื่อปรับปรุงแก้ไขและหาจุดร่วมทั้งสำหรับผู้ที่ใช้ทางเท้า
สำหรับการเดินและผู้ที่ใช้พื้นที่ทางเท้าในการประกอบอาชีพ เนื่องจากการจะจัดระเบียบและออกแบบทางเท้า จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของพื้นที่ เช่น การที่พ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถเข้าถึงก๊อกน้ำสาธารณะได้ ทำให้ต้องราดน้ำมันที่เหลือจากการประกอบอาหารทิ้งบนทางเท้า ทางเท้าจึงเสื่อมสภาพ อีกทั้งจำนวนผู้สูงอายุในเขตพระนครที่มีมาก การออกแบบทางเท้าก็ควรเน้นไปที่ทางเท้ากันลื่นและราวจับเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ศศิธรมองว่าการดำเนินงานเชิงนโยบายจำเป็นต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย โดยเป็นการจัดการร่วมกันทั้งฝ่ายบริหาร (ผู้ว่าราชการกทม.) ฝ่ายนิติบัญญัติ (ส.ก.) สำนักงานเขต เทศกิจ ผู้ค้าหาบเร่ ผู้ค้าในตึก เพื่อลดช่องว่างระหว่างภาครัฐและประชาชน
ส.ก.เขตพระนครยังมองว่าที่ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลจากภาครัฐ เพราะภาครัฐไม่ได้ทำประชาพิจารณ์ และไม่ได้ดึง ส.ก. เข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงริเริ่มนโยบาย
ศศิธรเชื่อว่าปากคลองตลาดถือเป็นตลาดที่ส่งเสริมการเกษตรของไทย เพราะมีทั้งตลาดเอกชน ตลาดยอดพิมาน โดยเฉพาะ ‘ตลาดส่งเสริมเสริมเกษตรไทย’ ที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกแล้วไม่พื้นที่ในการขาย
“อยากให้ภาครัฐทั้งกทม. เขต และตัวเราด้วย ประสานงบลงมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” ศศิธรกล่าว
Share this: