เรื่อง : ธณชล วิมลสัจจารักษ์
ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
‘โจทย์ใหญ่‘ ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์?
พลวัตความเปลี่ยนแปลงของตลาดสื่อและศิลปะ ที่แข่งขันกันด้วย ‘ความแปลกใหม่’ และ ‘การสร้างกระแส’ ไม่รู้จบ เป็นโจทย์ใหญ่ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ต้องมั่นตั้งรับภาวะตีบตันทางความคิดของเหล่า ‘ครีเอเตอร์’ (creators) จากฝ่ายครีเอทีฟ (creative) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ต้นน้ำ’ ของมูลค่าและคุณค่าศิลปะของสื่อมากมายในประเทศไทย โจทย์นี้เองที่ทำให้บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสวัสดิการ การส่งเสริมความสุขในที่ทำงาน และความสามัคคีระหว่างพนักงาน เพื่อลดความเครียดหรือความบีบคั้น โดยมีปลายทางคือการส่งเสริมให้ครีเอเตอร์ทำงานด้านความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับความสุข ซึ่งนักวิจัยและนักการตลาด เรียกแนวคิดดังกล่าวว่า ‘องค์กรแห่งความสุข’
องค์กรแห่งความสุขคืออะไร?
‘องค์กรแห่งความสุข’ คือ แนวคิดการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและวัฒนธรรมที่ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันและสบายใจที่ได้มาทำงาน สำหรับบรรดาบริษัทใต้ร่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายในประเทศไทย เช่น สายงานออกแบบ ศิลปะ หรืองานโฆษณา ต่างตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เช่น การจัดให้มีบาร์ขนมหรือเครื่องดื่มฟรี การสร้างพื้นที่พักผ่อนภายในออฟฟิศหรือห้องสมุดขนาดเล็ก และการมีพื้นที่ยิมออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้พนักงานได้ผ่อนคลายจากความเครียด และเติมพลังกลับไปสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ในวงวิชาการก็ได้พยายามศึกษาปรากฏการณ์จากแนวคิดดังกล่าว เช่นบทความวิจัยชื่อ ความสุขในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของพนักงานประจำ บริษัท แจ่มใสพับลิชชิ่ง โดย ยศพร ปัญจมะวัต (2561) ชี้ให้เห็นว่า แนวคิด ‘องค์กรแห่งความสุข’ เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ดึงดูดให้พนักงานในบริษัทสายครีเอทีฟ (อุตสาหกรรมสร้างสรรค์) เลือกทำงานในองค์กรนั้น ๆ และหากองค์กรสามารถจัดสรรทั้งด้านสวัสดิการและการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายได้มากขึ้นเพียงไร ก็ทำให้พนักงานเพิ่มความรู้สึกผูกพันต่อองค์กรได้อย่างชัดเจน หรือบทความวิจัยชื่อ ‘ความสุขในการทำงาน: เปรียบเทียบระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน โดย อัจฉราพร วงศ์พันธุ์ (2564) ได้ระบุว่า การที่องค์กรใส่ใจในความสุขของพนักงานช่วยเพิ่มความผูกพันต่อองค์กรและลดการลาออกได้อย่างมีนัยสำคัญ ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยที่มีการแข่งขันสูงและครีเอเตอร์ต้องเผชิญแรงกดดัน การมีพื้นที่พักผ่อนหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้จึงเป็นเสมือนการช่วย ‘รีเซ็ต’ พลังงานและเพิ่มความพร้อมในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
นฤต วชิรอมรเลิศ ผู้ก่อตั้งบริษัท LurnScape เอเจนซีงานส่งเสริมศักยภาพพนักงานและการบริหารองค์กร ให้ความเห็นกับนิสิตนักศึกษาว่า “ปัจจุบัน การปรับโครงสร้างองค์กร หรือ office rebranding ส่วนที่เกี่ยวกับพนักงาน มักเป็นผลสื่บเนื่องจากการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของฝ่ายบริหารและการไม่ให้อิสระหรือความเชื่อมือระหว่างลูกน้องกับหัวหน้างานที่อาวุโสกว่า โดย การทำงานของคนสายครีเอทีฟหรือในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะมีพลังขับเคลื่อนในระดับดีมาก หากบริษัทสามารถเพิ่มพื้นที่ในการพูดคุยแบบเปิดอกระหว่างพนักงาน จัดให้มีสวัสดิการด้านความสะดวกและความผ่อนคลาย ทั้งนี้เครื่องมือหนึ่งที่แข่งขันกันมากในหมู่ครีเอเตอร์ คือการแสวงหาเนื้อหามาเล่าเรื่องหรือการใช้หลัก storytelling ซึ่งหากบริษัทหรือองค์กรไหนดึงแนวคิดองค์กรแห่งความสุขเป็นตัวนำ ก็มีแนวโน้มว่าการหยิบจับประเด็นมาเล่าจะมีความแปลกใหม่มากกว่า”
กล่าวได้ว่าการทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เป็นรูปแบบการทำงานที่มักมาพร้อมแรงกดดัน ที่ต้องนำเสนอความแปลกใหม่และโดดเด่นอยู่เสมอ พนักงานบริษัทจึงต้องพร้อมเผชิญความคาดหวังจากลูกค้า ความต้องการของตลาด และการแข่งขันกับผู้อื่นในวงการล้วนเพิ่มความตึงเครียดให้พนักงาน นอกจากนี้ กระบวนการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเวลานานติดต่อกัน อาจทำให้เกิดภาวะ “creative burnout” หรือความอ่อนล้าทางความคิด ซึ่งการขาดสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้จึงควรสร้างพื้นที่หรือกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย
การสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวย
เพิ่มเติมจากผลวิจัยของทั้ง ยศพร และ อัจฉราพร ยังสะท้อนว่า บรรยากาศในการทำงานที่สบาย ไม่กดดันและเป็นมิตร เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สามารถสร้างผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง การที่บริษัทให้ความสำคัญกับพื้นที่หรือห้องพักผ่อนเป็นส่วนตัว เช่น การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่นุ่มและถูกต่อลักษณะทางกายภาพของพนักงาน การเพิ่มเนื้อที่ในการกั้นคอกทำงาน การเลือกเช่าสำนักงานใกล้พื้นที่สีเขียว การบริการห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือและสื่อต่าง ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่กลับช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา
นอกจากสวัสดิการที่เป็นรูปธรรมแล้ว บางบริษัทเริ่มใช้วิธีการเสริมบรรยากาศให้พนักงานทำงานได้อย่างมีอิสระมากขึ้น เช่น การจัดเวลาให้พนักงานสามารถเข้าและออกจากงานในช่วงเวลาที่ตัวเองสะดวก หรือการเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ อย่างการ Work from Home หรือการจัดตารางงานผสมผสาน (Hybrid) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน จนหลายบริษัทได้ยึดถือเป็นเทรนด์การขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนและความเป็นบริษัทแห่งอนาคต (Sustainable Trends)
สายธาร และ กฤตศิริ ดอนสำราญ สามีภรรยาสายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เจ้าของกิจการศิลปะ Thai Creo Studio ผู้ใช้ ‘บ้านสวนป่า’ ของครอบครัว เป็นแหล่งต้อนรับนักเรียน นักทำงานเชิงศิลป์ ชวนนิสิตนักศึกษาคุยว่า “ปัญหาที่ปิดกั้นการทำงานสร้างสรรค์ คือความตีบตันทางอารมณ์จากบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ เอง คือการเลื่อยต้นไม้สองข้างทางออก สายสื่อสารที่รุงรัง เราให้คุณค่ากับความกระด้าง แม้แต่บรรยากาศสองข้างทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนเข้าออฟฟิศ ยังไม่มีความรื่นรมย์เลย แล้วความคิดสร้างสรรค์จะปะทุออกมาได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริหารหรือผู้จัดการรุ่นใหม่ ที่จะคุมหางเสือบริษัทครีเอทีฟจะต้องคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยขึ้นมาให้มาก”
เชิงชาย และ ศศิญา ทิพย์สุข เจ้าของโปรเจกต์ ‘เพลินวาน หัวหิน’ และ ‘Mansion 7’ ที่ปัจจุบัน ผันตัวมาเป็นนักบรรยายสายการตลาดและอาจารย์พิเศษสาขาศิลปะ ได้แบ่งปันความคิดกับนิสิตนักศึกษาว่า “เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ หลายครั้งที่เทรนด์หรือกระแสสังคมในอดีต วกกลับมาสร้างแรงบันดาลใจซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักร การมีพื้นที่สำหรับสำรวจหรือตกตะกอนของเก่า – บรรยากาศเก่า ๆ ให้ผู้ทำงานร่วมกับเรา เพื่อใช้ศึกษาแง่มุมทางศิลปะจากของแต่ละชิ้น เรียกง่าย ๆ ว่าการคิดอ่านสร้างบรรยากาศ การให้เวลาประมวลไอเดียที่พอเหมาะ และการใช้ทรัพยากรของเจ้าของโปรเจกต์หรือหัวหน้าครีเอทีฟก็มีส่วนมาก ที่จะทำให้การคิดงานของลูกน้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ต้นขั้วของดอกผล ‘ความรักองค์กร’ และ ‘การทำงานที่ราบรื่น’
จากการศึกษาของ Trine Bille (2013) ที่ค้นคว้าปัจจัยการทำงานที่ส่งเสริมความสุขใน 49 ประเทศทั่วโลก พบว่าการส่งเสริมความสุขและสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน แต่ยังทำให้พวกเขามีแรงจูงใจมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องใช้พลังงานและความคิดสร้างสรรค์สูง การสร้างพื้นที่ที่พนักงานรู้สึกสบายใจจะช่วยให้พวกเขาเปิดเผยความคิดที่สร้างสรรค์และกล้าที่จะแสดงออก ดังความคิดเห็นหนึ่งของ เกศนคร พจนวรพงษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานสร้างสรรค์ (Creative Workers Union Thailand) ที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในกลไกอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งให้สัมภาษณ์นิตยสาร A Day Magazine (ฉบับธันวาคม 2023) ว่า
“แต่ก่อน เราทำงานสร้างสรรค์โดยไม่รู้ว่าความมั่นคงในชีวิตของเรามาจากไหน ทุกครั้งที่ทำงานเหมือนต้องยอมรับว่างานนี้จะไม่มั่นคงไปตลอด แต่เราก็ไม่มีทางเลือก ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาพูดหรือรวมพลังกันเพื่อสิทธิและคุณภาพชีวิต เราก็จะถูกละเลยในระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนอย่างเรา มาวันนี้ เมื่อประเด็นการสร้างบรรยากาศและความรู้สึกดี ๆ ในที่ทำงาน ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น มันจึงทำให้คนทำงานครีเอทีฟอย่างพวกเรา รู้สึกมีไฟที่จะทำงาน ไม่ใช่ทำเพื่อหวังแลกกับค่าจ้าง แต่คือการทำงานด้วยความรู้สึกอยากทุ่มเทและให้งานขององค์กรออกมาดี”
กล่าวได้ว่า การสร้าง ‘องค์กรแห่งความสุข’ ไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรมหรือเพิ่มสวัสดิการแก่พนักงาน ลูกจ้าง ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้มีความสุขเท่านั้น แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พนักงานรู้สึกถึงความปลอดภัย การสนับสนุน และอิสระที่กระตุ้นให้เกิดความรักองค์กร ทั้งในส่วนวัฒนธรรมองค์กรและความพึงพอใจต่อโครงสร้างการทำงาน ดังนั้น การเข้าใจในสิ่งที่พนักงานต้องการและตอบโจทย์ให้พวกเขามีความสุขในการทำงาน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เติบโตอย่างยั่งยืน
เรื่อง : ธณชล วิมลสัจจารักษ์
ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
พลวัตความเปลี่ยนแปลงของตลาดสื่อและศิลปะ ที่แข่งขันกันด้วย ‘ความแปลกใหม่’ และ ‘การสร้างกระแส’ ไม่รู้จบ เป็นโจทย์ใหญ่ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ต้องมั่นตั้งรับภาวะตีบตันทางความคิดของเหล่า ‘ครีเอเตอร์’ (creators) จากฝ่ายครีเอทีฟ (creative) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ต้นน้ำ’ ของมูลค่าและคุณค่าศิลปะของสื่อมากมายในประเทศไทย โจทย์นี้เองที่ทำให้บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสวัสดิการ การส่งเสริมความสุขในที่ทำงาน และความสามัคคีระหว่างพนักงาน เพื่อลดความเครียดหรือความบีบคั้น โดยมีปลายทางคือการส่งเสริมให้ครีเอเตอร์ทำงานด้านความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับความสุข ซึ่งนักวิจัยและนักการตลาด เรียกแนวคิดดังกล่าวว่า ‘องค์กรแห่งความสุข’
‘องค์กรแห่งความสุข’ คือ แนวคิดการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและวัฒนธรรมที่ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันและสบายใจที่ได้มาทำงาน สำหรับบรรดาบริษัทใต้ร่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายในประเทศไทย เช่น สายงานออกแบบ ศิลปะ หรืองานโฆษณา ต่างตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เช่น การจัดให้มีบาร์ขนมหรือเครื่องดื่มฟรี การสร้างพื้นที่พักผ่อนภายในออฟฟิศหรือห้องสมุดขนาดเล็ก และการมีพื้นที่ยิมออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้พนักงานได้ผ่อนคลายจากความเครียด และเติมพลังกลับไปสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ในวงวิชาการก็ได้พยายามศึกษาปรากฏการณ์จากแนวคิดดังกล่าว เช่นบทความวิจัยชื่อ ความสุขในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของพนักงานประจำ บริษัท แจ่มใสพับลิชชิ่ง โดย ยศพร ปัญจมะวัต (2561) ชี้ให้เห็นว่า แนวคิด ‘องค์กรแห่งความสุข’ เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ดึงดูดให้พนักงานในบริษัทสายครีเอทีฟ (อุตสาหกรรมสร้างสรรค์) เลือกทำงานในองค์กรนั้น ๆ และหากองค์กรสามารถจัดสรรทั้งด้านสวัสดิการและการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายได้มากขึ้นเพียงไร ก็ทำให้พนักงานเพิ่มความรู้สึกผูกพันต่อองค์กรได้อย่างชัดเจน หรือบทความวิจัยชื่อ ‘ความสุขในการทำงาน: เปรียบเทียบระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน โดย อัจฉราพร วงศ์พันธุ์ (2564) ได้ระบุว่า การที่องค์กรใส่ใจในความสุขของพนักงานช่วยเพิ่มความผูกพันต่อองค์กรและลดการลาออกได้อย่างมีนัยสำคัญ ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยที่มีการแข่งขันสูงและครีเอเตอร์ต้องเผชิญแรงกดดัน การมีพื้นที่พักผ่อนหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้จึงเป็นเสมือนการช่วย ‘รีเซ็ต’ พลังงานและเพิ่มความพร้อมในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
นฤต วชิรอมรเลิศ ผู้ก่อตั้งบริษัท LurnScape เอเจนซีงานส่งเสริมศักยภาพพนักงานและการบริหารองค์กร ให้ความเห็นกับนิสิตนักศึกษาว่า “ปัจจุบัน การปรับโครงสร้างองค์กร หรือ office rebranding ส่วนที่เกี่ยวกับพนักงาน มักเป็นผลสื่บเนื่องจากการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของฝ่ายบริหารและการไม่ให้อิสระหรือความเชื่อมือระหว่างลูกน้องกับหัวหน้างานที่อาวุโสกว่า โดย การทำงานของคนสายครีเอทีฟหรือในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะมีพลังขับเคลื่อนในระดับดีมาก หากบริษัทสามารถเพิ่มพื้นที่ในการพูดคุยแบบเปิดอกระหว่างพนักงาน จัดให้มีสวัสดิการด้านความสะดวกและความผ่อนคลาย ทั้งนี้เครื่องมือหนึ่งที่แข่งขันกันมากในหมู่ครีเอเตอร์ คือการแสวงหาเนื้อหามาเล่าเรื่องหรือการใช้หลัก storytelling ซึ่งหากบริษัทหรือองค์กรไหนดึงแนวคิดองค์กรแห่งความสุขเป็นตัวนำ ก็มีแนวโน้มว่าการหยิบจับประเด็นมาเล่าจะมีความแปลกใหม่มากกว่า”
กล่าวได้ว่าการทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เป็นรูปแบบการทำงานที่มักมาพร้อมแรงกดดัน ที่ต้องนำเสนอความแปลกใหม่และโดดเด่นอยู่เสมอ พนักงานบริษัทจึงต้องพร้อมเผชิญความคาดหวังจากลูกค้า ความต้องการของตลาด และการแข่งขันกับผู้อื่นในวงการล้วนเพิ่มความตึงเครียดให้พนักงาน นอกจากนี้ กระบวนการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเวลานานติดต่อกัน อาจทำให้เกิดภาวะ “creative burnout” หรือความอ่อนล้าทางความคิด ซึ่งการขาดสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้จึงควรสร้างพื้นที่หรือกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย
เพิ่มเติมจากผลวิจัยของทั้ง ยศพร และ อัจฉราพร ยังสะท้อนว่า บรรยากาศในการทำงานที่สบาย ไม่กดดันและเป็นมิตร เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สามารถสร้างผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง การที่บริษัทให้ความสำคัญกับพื้นที่หรือห้องพักผ่อนเป็นส่วนตัว เช่น การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่นุ่มและถูกต่อลักษณะทางกายภาพของพนักงาน การเพิ่มเนื้อที่ในการกั้นคอกทำงาน การเลือกเช่าสำนักงานใกล้พื้นที่สีเขียว การบริการห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือและสื่อต่าง ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่กลับช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา
นอกจากสวัสดิการที่เป็นรูปธรรมแล้ว บางบริษัทเริ่มใช้วิธีการเสริมบรรยากาศให้พนักงานทำงานได้อย่างมีอิสระมากขึ้น เช่น การจัดเวลาให้พนักงานสามารถเข้าและออกจากงานในช่วงเวลาที่ตัวเองสะดวก หรือการเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ อย่างการ Work from Home หรือการจัดตารางงานผสมผสาน (Hybrid) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน จนหลายบริษัทได้ยึดถือเป็นเทรนด์การขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนและความเป็นบริษัทแห่งอนาคต (Sustainable Trends)
สายธาร และ กฤตศิริ ดอนสำราญ สามีภรรยาสายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เจ้าของกิจการศิลปะ Thai Creo Studio ผู้ใช้ ‘บ้านสวนป่า’ ของครอบครัว เป็นแหล่งต้อนรับนักเรียน นักทำงานเชิงศิลป์ ชวนนิสิตนักศึกษาคุยว่า “ปัญหาที่ปิดกั้นการทำงานสร้างสรรค์ คือความตีบตันทางอารมณ์จากบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ เอง คือการเลื่อยต้นไม้สองข้างทางออก สายสื่อสารที่รุงรัง เราให้คุณค่ากับความกระด้าง แม้แต่บรรยากาศสองข้างทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนเข้าออฟฟิศ ยังไม่มีความรื่นรมย์เลย แล้วความคิดสร้างสรรค์จะปะทุออกมาได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริหารหรือผู้จัดการรุ่นใหม่ ที่จะคุมหางเสือบริษัทครีเอทีฟจะต้องคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยขึ้นมาให้มาก”
เชิงชาย และ ศศิญา ทิพย์สุข เจ้าของโปรเจกต์ ‘เพลินวาน หัวหิน’ และ ‘Mansion 7’ ที่ปัจจุบัน ผันตัวมาเป็นนักบรรยายสายการตลาดและอาจารย์พิเศษสาขาศิลปะ ได้แบ่งปันความคิดกับนิสิตนักศึกษาว่า “เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ หลายครั้งที่เทรนด์หรือกระแสสังคมในอดีต วกกลับมาสร้างแรงบันดาลใจซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักร การมีพื้นที่สำหรับสำรวจหรือตกตะกอนของเก่า – บรรยากาศเก่า ๆ ให้ผู้ทำงานร่วมกับเรา เพื่อใช้ศึกษาแง่มุมทางศิลปะจากของแต่ละชิ้น เรียกง่าย ๆ ว่าการคิดอ่านสร้างบรรยากาศ การให้เวลาประมวลไอเดียที่พอเหมาะ และการใช้ทรัพยากรของเจ้าของโปรเจกต์หรือหัวหน้าครีเอทีฟก็มีส่วนมาก ที่จะทำให้การคิดงานของลูกน้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
จากการศึกษาของ Trine Bille (2013) ที่ค้นคว้าปัจจัยการทำงานที่ส่งเสริมความสุขใน 49 ประเทศทั่วโลก พบว่าการส่งเสริมความสุขและสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน แต่ยังทำให้พวกเขามีแรงจูงใจมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องใช้พลังงานและความคิดสร้างสรรค์สูง การสร้างพื้นที่ที่พนักงานรู้สึกสบายใจจะช่วยให้พวกเขาเปิดเผยความคิดที่สร้างสรรค์และกล้าที่จะแสดงออก ดังความคิดเห็นหนึ่งของ เกศนคร พจนวรพงษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานสร้างสรรค์ (Creative Workers Union Thailand) ที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในกลไกอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งให้สัมภาษณ์นิตยสาร A Day Magazine (ฉบับธันวาคม 2023) ว่า
“แต่ก่อน เราทำงานสร้างสรรค์โดยไม่รู้ว่าความมั่นคงในชีวิตของเรามาจากไหน ทุกครั้งที่ทำงานเหมือนต้องยอมรับว่างานนี้จะไม่มั่นคงไปตลอด แต่เราก็ไม่มีทางเลือก ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาพูดหรือรวมพลังกันเพื่อสิทธิและคุณภาพชีวิต เราก็จะถูกละเลยในระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนอย่างเรา มาวันนี้ เมื่อประเด็นการสร้างบรรยากาศและความรู้สึกดี ๆ ในที่ทำงาน ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น มันจึงทำให้คนทำงานครีเอทีฟอย่างพวกเรา รู้สึกมีไฟที่จะทำงาน ไม่ใช่ทำเพื่อหวังแลกกับค่าจ้าง แต่คือการทำงานด้วยความรู้สึกอยากทุ่มเทและให้งานขององค์กรออกมาดี”
กล่าวได้ว่า การสร้าง ‘องค์กรแห่งความสุข’ ไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรมหรือเพิ่มสวัสดิการแก่พนักงาน ลูกจ้าง ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้มีความสุขเท่านั้น แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พนักงานรู้สึกถึงความปลอดภัย การสนับสนุน และอิสระที่กระตุ้นให้เกิดความรักองค์กร ทั้งในส่วนวัฒนธรรมองค์กรและความพึงพอใจต่อโครงสร้างการทำงาน ดังนั้น การเข้าใจในสิ่งที่พนักงานต้องการและตอบโจทย์ให้พวกเขามีความสุขในการทำงาน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เติบโตอย่างยั่งยืน
Share this: