เรื่อง : ธณชล วิมลสัจจารักษ์
ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
ท่ามกลางความเติบโตและรุดเร่งของเมือง วิถีชีวิตของผู้คนกลับมีช่องว่างในการเข้าใจและเข้าถึงการเติบโตของประชากรรุ่นถัดจากตนเอง เรื่องของ ‘เด็ก’ และ ‘เยาวชน’ มีเพียงประเด็นแลกเปลี่ยนเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองในวงแคบมากกว่าที่จะถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่ในสังคม
การศึกษา: จากรากสู่ระบบ… จากครอบครัวถึงโรงเรียน…
‘การศึกษา’ รากฐานสำคัญของการพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพ ทั้งเชิงตรรกะและพัฒนาการ นับเป็น ‘เรื่องใหญ่’ ที่ผู้ปกครองในยุคดิจิทัล ต่างทุ่มเทความสำคัญทั้งในแง่ ‘การลงทุน’ และ ‘การตัดสินใจ’ ด้วยความเชื่อมั่นว่าสถาบันการศึกษาหรือหลักสูตรที่ตนเลือก จะขับเคี่ยวลูกให้แข่งขันในสังคมต่อไปได้ อย่างไม่น้อยหน้าหรือไม่ด้อยไปกว่าใคร
ทว่าปัจจุบัน การพาลูกเข้าชั้นเรียน กลับดูเหมือนว่าเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยมายาคติ ค่านิยม การโน้มน้าว และคำโฆษณาชวนเชื่อจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งกลุ่มผู้ปกครอง ชุมชนออนไลน์ ธุรกิจการศึกษาของโรงเรียน ฯลฯ จนเริ่มเกิดการตั้งคำถามขึ้นในสังคมว่า ‘การศึกษาไทย’ กำลังถูกด้อยค่าให้เป็นเพียงกลไกแสวงผลประกอบการจากนักเรียนและผู้ปกครองหรือไม่ และมาตรฐานการจัดการเรียนการสอนควรปรับปรุงอย่างไร
ด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกปริมณฑลของความสัมพันธ์ ย่อมมีพื้นที่ของความรัก ความห่วงใย และความปรารถนาดีซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ในใจและความคิดคำนึงของผู้ปกครอง ที่ต้องการผลักดันและเรียนรู้การส่งเสริมการเติบโตของลูกให้เหมาะสม สำหรับบทความนี้นิสิตนักศึกษาจึงเลือกขยายพื้นที่พูดคุยถึง ‘ความรัก’ ผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองต่อระบบการศึกษาไทยของ 4 แม่ ‘นักการศึกษา’ ผู้ร่วมขับเคลื่อนประเด็นการศึกษาและต่อสู้กับระบบผุกร่อนของโรงเรียน
“พี่ว่าในความคิดผู้ปกครองส่วนใหญ่ การลงทุนที่ให้ความรู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด คือ การลงทุนเพื่อการศึกษาของลูก เพราะเราไม่เพียงซื้อความรู้ แต่สิ่งที่ลงทุนและได้กลับมาสำหรับลูก คือการได้รู้จักปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่จำลองจากสังคมใหญ่ ได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์แตกต่างวัยภายในโรงเรียน ได้เรียนรู้ปฏิกิริยาความรู้สึกและการกระทำของบุคคลอื่นนอกเหนือจากตัวเอง และที่สำคัญ คือ ผู้ปกครองกำลังซื้อชั่วโมงแห่งการพัฒนาตัวเองของลูกอย่างเป็นระบบและปลอดภัย”
พญ.รสรินทร์ คุ้มกองสุวรรณ สมาชิกแพทย์อายุรศาสตร์จาก Anti-Aging Association สหรัฐอเมริกา ผู้พ่วงสถานะแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง เกริ่นถึงมุมมองการศึกษาพร้อมเล่าว่า ตนเองไม่ได้มีความสนใจด้านการศึกษามาแต่ต้น กระทั่งมีลูกและต้องสลับที่ทำงานระหว่างเชียงใหม่กับ กทม. อยู่เสมอ ความกังวลว่าลูกจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยครั้ง ทำให้เธอเริ่มต้นหาข้อมูลหลักสูตรการสอนที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับเด็กเล็ก จนรวบรวมเป็นข้อมูลด้านการศึกษาที่เป็นภาพใหญ่ขึ้น
รสรินทร์เน้นย้ำว่าเสียงสะท้อนของผู้ปกครองที่มีต่อระบบการศึกษานั้น เป็นเสียงที่ไม่อาจตกตะกอนในเวลาอันสั้น แต่ต้องค่อย ๆ ประมวลจากการสังเกตปฏิกิริยาอาการของลูกก่อนหรือหลังเลิกเรียน การพูดคุยกับเพื่อนผู้ปกครอง การปรึกษากับครูประจำชั้น รวมถึงการใช้ประสบการณ์จากการที่ผู้ปกครองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศสถานศึกษา
“พี่ใช้หลักสมดุลในการดำเนินชีวิตมาตั้งคำถาม ทำให้มองเห็นสภาวะยึดติดกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบเก่าของบุคลากร โดยเฉพาะข้าราชการครูที่มักจ้ำจี้จำไชเด็ก แต่เรื่อง ขาด-ลา-มาสาย การทำทัณฑ์บน หรือการคาดคั้นคะแนนเก็บของนักเรียน ทำให้พี่ต้องตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับครูไทย แล้วบทบาทของครูคืออะไร ยัดเยียดความขาวความดำให้เด็ก หรือเป็นผู้แนะแนวทางให้เด็ก?”
ความพยายามทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้เธอวิเคราะห์ออกมาเป็นปัญหาเชิงสังคมว่า
“การกดทับของระบบจากบนลงล่าง ที่ทำให้หน้าที่ของมนุษย์ครูบิดเบี้ยว การใช้สถิติความเป็นเลิศเป็นตัวประเมิน ทำให้เกิดการกวดขันเด็กแต่ด้านวิชาการ ส่วนตัวครูก็วิ่งรอบจัดผลิตผลงานเพื่อประเมินผลเลื่อนวิทยฐานะ แลกกับ ‘เงินเดือน’ มากกว่าการนำพลังนั้น มาต่อยอด ‘หน้าที่หลักทางวิชาชีพ’ คือความใส่ใจสุขภาพกาย-สุขภาพจิตของเด็ก หรือร่วมรับมือต่อปัญหาภายในครอบครัวของเด็ก”
นอกจากนี้ รสรินทร์ยังแสดงความเป็นห่วงถึงปัญหาสภาพจิตใจในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนไข้ที่เธอร่วมดูแลอยู่
“เดี๋ยวนี้ เด็กตั้งแต่ชั้นเล็ก ๆ เขาต้องเผชิญความเปราะบางในชีวิตมาก โดยเฉพาะความรุนแรงด้านอารมณ์ที่เกิดจากวิถีสุดโต่งในสังคม จากสื่อ จากผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยคำนึงถึงความหลากหลายของช่วงวัยในสังคม แม้แต่เรื่องโรคร้ายในเด็กที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจจะพูดถึง เพราะ ‘การศึกษาไทย’ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ยิ่งเป็นประเทศไทยด้วยแล้ว ใครจะริเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างก็มักเผชิญแรงต้านต่าง ๆ ทำให้ถอดใจกันไปมาก”
“ระบบการศึกษา” ในแคตตาล็อกผู้ปกครองรุ่นใหม่
เพื่ออธิบายระบบการศึกษาไทยให้รอบดัาน นิสิตนักศึกษาจึงรวบรวมรูปแบบหลักสูตรสถานศึกษาไทยที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่รสรินทร์ต้องการสื่อมากยิ่งขึ้น
โรงเรียนรัฐบาล คือโรงเรียนที่จัดตั้งและบริหารงานโดยกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดหน่วยงานราชการ เช่น กรุงเทพมหานคร เทศบาลเมือง กองทัพ มีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย มุ่งเน้นให้เด็กไทยทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ไม่มีการจัดเก็บค่าเทอมรายปี แต่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมห้องเรียนพิเศษ ค่ากิจกรรม หรือค่าตำราเฉพาะ เช่น โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษา สตรีวิทยา
โรงเรียนนานาชาติ (International School) คือ โรงเรียนที่เปิดสอนโดยใช้หลักสูตรนานาชาติ เช่น หลักสูตรอังกฤษ (IGCSE, A-Level) อเมริกา หรือ IB (International Baccalaureate) และมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เป็นหลัก เน้นการเตรียมตัวนักเรียนให้สามารถศึกษาต่อหรือทำงานในต่างประเทศ โดยยังคงส่งเสริมทักษะด้านภาษาไทยและความรู้ท้องถิ่นในระดับที่เหมาะสม มีค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 200,000-1,000,000 บาท เช่น โรงเรียนบางกอกพัฒนา แองโกลสิงคโปร์ คิงส์คอลเลจ
โรงเรียนเอกชนสองภาษา/สามภาษา (Bilingual/Trilingual School) คือ โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเป็นสื่อการสอน (มักเป็นภาษาอังกฤษ) โดยอาศัยหลักสูตรแกนกลางกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับตำราที่คณาจารย์จัดทำขึ้น เพื่อแบ่งสัดส่วนการใช้ตามวิชาเรียนหรือระดับชั้น เป็นการส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนควบคู่กับการเรียนภาษาไทย เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาภาษาได้อย่างสมดุลและมีทักษะการใช้ภาษาทั้งสองในการศึกษาและชีวิตประจำวัน ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 80,000 – 400,000 เช่น กลุ่มโรงเรียนอัสสัมชัญ คณะภราดาเซนต์คาเบรียล เครือสารสาสน์
โรงเรียนวอลดอร์ฟ (Waldorf School) คือ โรงเรียนที่เน้นการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย ผ่านการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์และจินตนาการ มีการบูรณาการการเรียนการสอนแบบครบวงจร โดยใช้ศิลปะ ดนตรี การแสดง และการปฏิบัติงานเป็นแกนหลัก เน้นการเรียนรู้โดยการลงมือทำ โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ซึ่งเน้นการเรียนรู้ตามพัฒนาการทางธรรมชาติของเด็กมากกว่าใช้ตำราเรียน ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 150,000-300,000 บาท เช่น โรงเรียนเพลินพัฒนา ปัญโญทัย
โรงเรียนมอนเตสซอรี (Montessori School) คือ โรงเรียนตามแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี (Maria Montessori) ซึ่งเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงออกแบบการเรียนการสอนที่เน้นการให้เด็กเลือกทำกิจกรรมเอง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน เด็กเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์การสอนที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน อาทิ คณิตศาสตร์ ภาษา และการพัฒนาความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 80,000-200,000 บาท เช่น โรงเรียนมอตเตสซอรีเชียงใหม่
โรงเรียนวิถีพุทธ คือ โรงเรียนที่มีการจัดการศึกษาโดยยึดหลักพุทธศาสนาเป็นฐาน ส่งเสริมการพัฒนาตนเองทั้งกายและจิตใจของนักเรียนโดยให้สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา มีการนำหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และสนับสนุนให้นักเรียนฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อพัฒนาตนเองทั้งด้านจริยธรรมและศักยภาพ ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 20,000 – 80,000 บาท เช่น โรงเรียนทอสี รุ่งอรุณ
โรงเรียนทางเลือกหรือบูรณาการ คือ โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการหลายแขนงความรู้เข้าด้วยกัน โดยไม่มีการแยกวิชาเป็นเอกเทศ เช่น บูรณาการวิทยาศาสตร์และศิลปะหรือสังคมศึกษาและภาษา เพื่อให้เด็กสามารถเชื่อมโยงความรู้จากหลายด้านได้อย่างลึกซึ้ง และพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 50,000-150,000 บาท เช่น โรงเรียนปัญญาประทีป สัตยาไส
จากข้อมูลข้างต้น แม้ตัวเลือกการเข้าถึงการศึกษาและธุรกิจโรงเรียนไทย ทั้งด้านราคาและหลักสูตรจะมีความหลากหลายมาก รองรับความต้องการผู้ปกครองที่มองหาพื้นที่เรียนรู้สำหรับบุตรหลาน แต่ตัวเลือกของโรงเรียนเหล่านี้ กลับกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย เบนมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกหลานด้วยตนเอง มากกว่าการฝากความหวังไว้กับระบบหรือโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว
รักลูกแบบ ‘พลเมืองโลก’ และการเรียนรู้นอกห้องเรียน
ปภัสรินทร์ จิรศรัณลักษณ์ ล่ามภาษาอังกฤษมืออาชีพและมหาบัณฑิตสาขาบริหารการศึกษา ผู้นิยามบทบาทหนึ่งของเธอว่า “คุณครูประจำห้องเรียนแห่งอนาคต” ปภัสรินทร์เป็นแม่ที่มีมุมมองเฉพาะตัวในการเลี้ยงลูกและเลือกสถานศึกษา โดยเธอให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘ความเป็นคน’ และการเติบโตตามธรรมชาติของเด็ก มากกว่าการมุ่งเน้นให้ลูกประสบความสำเร็จในเชิงวิชาการแบบกระแสหลัก
ความคิดของปภัสรินทร์สะท้อนผ่านการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวลูก และการเลี้ยงดูที่เปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง เธอเชื่อว่า เด็กควรได้รับการปลูกฝังให้รู้จักตนเอง เข้าใจคุณค่าในตัวเองก่อนที่จะถูกคาดหวังให้เก่งวิชาการ
ด้านการเลือกโรงเรียน ปภัสรินทร์เลือกโรงเรียนแนววอลดอร์ฟ (Waldorf) ให้กับลูกชายของเธอ เนื่องจากโรงเรียนมีแนวทางการสอนเน้นการเติบโตตามธรรมชาติและการพัฒนามนุษย์ผ่านการเรียนรู้แบบองค์กร เธออธิบายว่า แนวทางการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ส่งเสริมให้ลูกของเธอได้สัมผัสและเข้าใจโลกผ่านการสังเกตและการปฏิบัติจริงผ่านหลักการสามข้อ ได้แก่ Rhythm (จังหวะ) Repetition (การทำซ้ำ) และ Reverence (การเคารพ) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังความรู้สึกมีระเบียบวินัย การเรียนรู้ที่ฝังแน่นด้วยการทำซ้ำ ๆ เพื่อความเชี่ยวชาญ และการเคารพตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ตัวอย่างที่สะท้อนการปฏิบัติตามแนวทางนี้ คือ การใช้ ‘ขี้ผึ้ง’ เป็นสื่อการเรียนรู้ โดยให้เด็กฝึกปั้นขี้ผึ้งแทนที่จะใช้ดินน้ำมัน ซึ่งขี้ผึ้งจะมีความอ่อนหรือแข็งตามอุณหภูมิ ปภัสรินทร์อธิบายว่า การปั้นขี้ผึ้งช่วยให้เด็กเข้าใจถึงการปรับตัว เพราะขี้ผึ้งมีลักษณะยืดหยุ่นในบางสภาพและแข็งทื่อในบางเวลา ซึ่งเปรียบได้กับจิตใจมนุษย์ที่ต้องรู้จักปรับให้เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ความเข้าใจนี้จะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นคนที่มีความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงได้ดี ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ปภัสรินทร์ยังสนับสนุนการเลี้ยงลูกให้เป็นธรรมชาติที่สุด โดยไม่พยายามควบคุมหรือกดดันลูกให้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และลองทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ
ปภัสรินทร์เชื่อว่า ‘การศึกษาไทย’ ในปัจจุบัน ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เขยิบมาสู่ ‘โลกดิจิทัล’ ชนิดไร้พรมแดนการสื่อสาร เธอมองว่าการเรียนรู้ควรจะเกิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือกับสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าที่จะมุ่งหวังเพียงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือการได้ปริญญาตรี และการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องเก่งด้านวิชาการทั้งหมด แต่ควรมีทักษะที่จำเป็นและมีความมั่นใจในตนเองเพื่อที่จะก้าวไปในทิศทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เพราะรากฐานของการสร้างความยืดหยุ่นและความหลากหลายในการรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ จะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันทั้งความคิดและอารมณ์ ทำให้การใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองโลกสามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ปภัสรินทร์เชื่อว่าความสุขในชีวิตขึ้นอยู่กับการที่เรามีความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือกับทุกสถานการณ์ ซึ่งจะทำให้เราไม่เครียดและสามารถเผชิญหน้ากับอนาคตได้อย่างมีความสุข
“พี่ไม่เคยนึกบังคับตัวเองหรือตั้งความหวัง ว่าจะต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนแบบไหนตามใจตัวเองเลย แต่การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองมาแต่ต้นคนเดียว ทำให้เราเห็น ‘ความเป็นไปได้’ ของลูกที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในระบบและเลือกเส้นทางนั้น เรียกว่า ‘พิจารณาลูกเป็นแก่น แล้วค่อยเสริม’ เวลาพี่ได้พูดกับเพื่อนที่มีลูกอ่อน จึงมักบอกว่า การเลือกโรงเรียน ควรพิจารณาจากพฤติกรรมและพัฒนาการก่อนเข้าโรงเรียน ไม่ใช่การยัดเยียด และในฐานะพ่อแม่ เราควรร่วมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปพร้อมกับลูก เพื่อเวลาวัดประสิทธิผลกับตัวเอง จะได้ย้ำเตือนว่า เราเลี้ยงเขาไว้เพื่อเป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับคนอื่น” ปภัสรินทร์กล่าว
อีกแง่มุมหนึ่ง คือความเกี่ยวเนื่องของสถาบันครอบครัว ปภัสรินทร์มองว่า พ่อแม่ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบการเลี้ยงลูกหรือการศึกษาในอดีตจนเกินไป เธอเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่จะปรับตัวในปัจจุบันและอนาคตเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า เธอไม่ได้บังคับให้ลูกต้องเข้าใจชีวิตในแบบที่เธอเติบโตมา
“การเลี้ยงลูก… แม่ทุกคนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single mom) ในตัวเอง เช่นเดียวกับพ่อทุกคนที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) และมุ่งทำหน้าที่ในส่วนตัวเองให้ดีที่สุดสำหรับลูก อย่าให้ค่านิยมของสังคมมาทำให้เราเข้าใจรูปแบบวิธีการเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ แล้วตีตราคุณค่าของคำว่า ‘ครอบครัวสมบูรณ์แบบ’ ว่าต้องมีทั้งพ่อ-แม่”
ปภัสรินทร์ยังกล่าวว่า เธอไม่ได้พยายามสอนลูกทุกอย่างในชีวิต เพราะเธอเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้และสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ เธอหวังว่าเมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาจะสามารถเลือกเส้นทางที่เป็นตัวของตัวเอง และมีทักษะในการอยู่ร่วมกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดี การเลี้ยงลูกของปภัสรินทร์จึงไม่ใช่เพียงการสนับสนุนลูกให้เติบโต แต่เป็นการสอนให้ลูกมีความยืดหยุ่น มีความมั่นใจในตัวเอง และรู้จักเคารพผู้อื่น เธอเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีทรัพย์สิน แต่ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่เราสร้างขึ้นในตัวเอง และเธอหวังว่าลูกของเธอจะสามารถเขียนเรื่องราวชีวิตของตนเองได้อย่างเต็มที่
เพราะความรักลูก ‘ต้องไม่ใช่‘ ความคาดหวังจากลูก
ธนันรดา ธนานาถ ผู้มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาศักยภาพเด็ก เยาวชน และความสัมพันธ์ในครอบครัว (Private Parenting & Family Coach) หนึ่งในตัวแทนแม่นักการศึกษา ให้ความเห็นถึงปัญหาแฝง อย่าง ‘ความคาดหวัง’ และ ‘ความรู้สึกเปรียบเทียบ’ ของผู้ปกครอง จนเกิดเป็นความกดดันแก่ลูกหลานให้ตกอยู่ในวงจรการศึกษาที่มุ่งเน้นแต่วิชาการ
“ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของสื่อสังคมและเป้าหมายที่ฉาบฉวยค่ะ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบลูกผ่านคำพูดหรือคอมเมนต์ในโพสต์ต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา อยากมีอยากเป็นแบบคนอื่นบ้าง แล้วบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ หรือไม่เหมาะสมกับวัยที่เขาจะทำ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนค่ะ” ธนันรดากล่าว
จิตใต้สำนึกของเด็กจะเปิดเต็มที่ช่วง 7-10 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ ทดลอง และทำความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ แต่เมื่อใดที่ผู้ปกครองเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น ยัดเยียดวิชาการการแข่งขันให้กับเด็ก ธนันรดามองว่า นี่คือสิ่งที่สามารถยับยั้งพัฒนาการของเด็กได้ คือเด็กอาจจะเก่งจริง แต่เก่งเฉพาะด้านวิชาการที่ถูกเคี่ยวเข็ญบังคับ เพราะเขาถูกสร้างหรือหล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่เก่งในทักษะใดทักษะหนึ่ง แม้ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรต้องโฟกัสกับลูก ตั้งแต่ระดับจิตใจหรือจิตวิญญาณ เพราะการจัดการทางอารมณ์และความคิด จะเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนความสามารถทางวิชาการหรือการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
จากห้วงแห่งตำรา.. สู่ช่วงเวลาในโลกกว้าง
ณหทัย เด่นอุดม นักสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรสองภาษา ผู้บอกเล่าถึง ‘ความทุกข์’ ของครอบครัวเมื่อระบบการศึกษาส่งผลกระทบต่อลูกของเธอ และส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวไม่เป็นสุข จนทำให้เธอและสามี หันมาเอาจริงเอาจังกับการถอดบทเรียนระบบการศึกษาร่วมกับเครือข่ายผู้ปกครองปัญญาประทีป หนึ่งในโรงเรียนประจำทางเลือก ที่ผู้ปกครองทุกคนได้รับมอบหมายให้ส่งต่อความรู้-ความหมายของธรรมชาติระหว่างกันและสู่สังคม
“ย้อนกลับไปราว ๆ สิบปีก่อน ที่ผู้มีส่วนได้เสียในระบบการศึกษาไทย (Stakeholders) ยังมีช่องโหว่ระหว่างกันมาก การสื่อสารระหว่างสามเส้า คือ ครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง เป็นเหมือนความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครอยากก้าวก่ายกันมากนัก การรังแกกันในชั้นเรียน การให้ท้ายเด็กบางคน การมุ่งเน้นผลเลิศทางวิชาการมากกว่าการเรียนเพื่อเป็นมนุษย์ ทำให้ครอบครัวของเราตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่า บาดแผลทางกายและความเจ็บปวดจากคำพูดที่ลูกได้รับจากห้องเรียน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขาในการเรียนรู้ จนทำให้ลูกไม่อยากไปเรียนและเริ่มทำร้ายร่างกายตนเองตอนเด็ก ทำให้เราหันมาพูดคุยกันในครอบครัวและตัดสินใจให้ลูกลาออกมาสอนแบบการเรียนรู้นอกระบบสถาบันการศึกษา (Home Schooling) ค่ะ” ณหทัยกล่าว
เป็นความน่ายินดีที่การเรียนการสอนจากพ่อแม่โดยตรง เป็นการเยียวยาบาดแผลทางกายและใจเด็กที่ได้ผลชะงัด ณหทัยได้พาลูกชายของเธอ ไปสัมผัสการเรียนรู้นอกห้องเรียน ผ่านการเก็บเกี่ยวลงมือปฏิบัติ โดยแบ่งความรับผิดชอบด้านวิชาการให้สามี ผู้เป็นอดีตอาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์ ส่วนเธอจะคอยจูงมือลูกพูดคุยกับชาวบ้านบนดอยต่าง ๆ คราวละหลายเดือน เพื่อให้ลูกซึมซับการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความหลากหลาย อันเป็นทักษะที่มีความเฉพาะด้าน ยิ่งกว่าการจับจดกับหน้าตำรา
“การออกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้แล้วเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวเราปลดล็อกจากกรอบค่ะ พี่ว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวทุกคน รู้หน้าที่ รับผิดชอบ เคารพเส้นทางและสิทธิของตัวเอง แบบที่เรียกว่า ‘วิชาชีวิต’ โดยที่ใช้ความสุข-ความสนุกของลูก เป็นสารตั้งต้นให้พ่อกับแม่ได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนแบบเฉพาะ (Specially Crafted) ทุกวัน การพาลูกลาออกที่ตอนแรกเห็นความกังวลว่าลูกเราจะแตกต่าง แต่เมื่อเราได้ศึกษาระบบของกระทรวงศึกษาธิการ จึงทราบว่ายังมีบุคลากรการศึกษาอีกจำนวนไม่น้อย ที่พร้อมช่วยเหลือกลุ่มพ่อแม่ทางเลือก ในการให้ลูกได้สอบเทียบความรู้กับชั้นเรียนสามัญในระบบโรงเรียนทั่วไป เมื่อถึงชั้นมัธยมต้น หลังจากได้เห็นลูกถูกติดปีกแล้ว ครอบครัวเราได้พูดคุยกันว่า เราและลูกอยากกลับไปร่วมสร้างเครือข่ายโรงเรียนที่เข้มแข็งสักที่ จึงได้เลือกโรงเรียนประจำทางเลือก คือ ‘โรงเรียนปัญญาประทีป’ ในการดูแลของพระอาจารย์ชยสาโร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานศึกษาต้นแบบของการส่งต่อความรู้ด้านการศึกษาประเภทสากลนิยมหรือหลากหลายนิยม (Cosmopolitanism)’ หรือการสอนบนแนวคิดหลากหลาย ซึ่งนับเป็นเทรนด์การศึกษาใหม่ที่ประเทศไทยเริ่มนำใช้มากขึ้นค่ะ”
นิสิตนักศึกษาหวังให้ตัวแทนเสียงผู้ปกครองทุกคนนี้ ได้สะท้อนบางส่วนบางมุมของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างความรักลูกของสถาบันครอบครัว ที่เกี่ยวโยงกับระบบการศึกษาไทยมากยิ่งขึ้น ด้วยเชื่อว่า การเติบโตที่ดีของมนุษย์คนหนึ่ง ย่อมอาศัยส่วนผสมของ ‘ความเข้าใจ’ ‘ความร่วมมือ’ และ ‘ความรัก’ ของทุกฝ่ายเสมอไป
เรื่อง : ธณชล วิมลสัจจารักษ์
ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
ท่ามกลางความเติบโตและรุดเร่งของเมือง วิถีชีวิตของผู้คนกลับมีช่องว่างในการเข้าใจและเข้าถึงการเติบโตของประชากรรุ่นถัดจากตนเอง เรื่องของ ‘เด็ก’ และ ‘เยาวชน’ มีเพียงประเด็นแลกเปลี่ยนเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองในวงแคบมากกว่าที่จะถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่ในสังคม
‘การศึกษา’ รากฐานสำคัญของการพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพ ทั้งเชิงตรรกะและพัฒนาการ นับเป็น ‘เรื่องใหญ่’ ที่ผู้ปกครองในยุคดิจิทัล ต่างทุ่มเทความสำคัญทั้งในแง่ ‘การลงทุน’ และ ‘การตัดสินใจ’ ด้วยความเชื่อมั่นว่าสถาบันการศึกษาหรือหลักสูตรที่ตนเลือก จะขับเคี่ยวลูกให้แข่งขันในสังคมต่อไปได้ อย่างไม่น้อยหน้าหรือไม่ด้อยไปกว่าใคร
ทว่าปัจจุบัน การพาลูกเข้าชั้นเรียน กลับดูเหมือนว่าเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยมายาคติ ค่านิยม การโน้มน้าว และคำโฆษณาชวนเชื่อจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งกลุ่มผู้ปกครอง ชุมชนออนไลน์ ธุรกิจการศึกษาของโรงเรียน ฯลฯ จนเริ่มเกิดการตั้งคำถามขึ้นในสังคมว่า ‘การศึกษาไทย’ กำลังถูกด้อยค่าให้เป็นเพียงกลไกแสวงผลประกอบการจากนักเรียนและผู้ปกครองหรือไม่ และมาตรฐานการจัดการเรียนการสอนควรปรับปรุงอย่างไร
ด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกปริมณฑลของความสัมพันธ์ ย่อมมีพื้นที่ของความรัก ความห่วงใย และความปรารถนาดีซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ในใจและความคิดคำนึงของผู้ปกครอง ที่ต้องการผลักดันและเรียนรู้การส่งเสริมการเติบโตของลูกให้เหมาะสม สำหรับบทความนี้นิสิตนักศึกษาจึงเลือกขยายพื้นที่พูดคุยถึง ‘ความรัก’ ผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองต่อระบบการศึกษาไทยของ 4 แม่ ‘นักการศึกษา’ ผู้ร่วมขับเคลื่อนประเด็นการศึกษาและต่อสู้กับระบบผุกร่อนของโรงเรียน
“พี่ว่าในความคิดผู้ปกครองส่วนใหญ่ การลงทุนที่ให้ความรู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด คือ การลงทุนเพื่อการศึกษาของลูก เพราะเราไม่เพียงซื้อความรู้ แต่สิ่งที่ลงทุนและได้กลับมาสำหรับลูก คือการได้รู้จักปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่จำลองจากสังคมใหญ่ ได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์แตกต่างวัยภายในโรงเรียน ได้เรียนรู้ปฏิกิริยาความรู้สึกและการกระทำของบุคคลอื่นนอกเหนือจากตัวเอง และที่สำคัญ คือ ผู้ปกครองกำลังซื้อชั่วโมงแห่งการพัฒนาตัวเองของลูกอย่างเป็นระบบและปลอดภัย”
พญ.รสรินทร์ คุ้มกองสุวรรณ สมาชิกแพทย์อายุรศาสตร์จาก Anti-Aging Association สหรัฐอเมริกา ผู้พ่วงสถานะแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง เกริ่นถึงมุมมองการศึกษาพร้อมเล่าว่า ตนเองไม่ได้มีความสนใจด้านการศึกษามาแต่ต้น กระทั่งมีลูกและต้องสลับที่ทำงานระหว่างเชียงใหม่กับ กทม. อยู่เสมอ ความกังวลว่าลูกจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยครั้ง ทำให้เธอเริ่มต้นหาข้อมูลหลักสูตรการสอนที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับเด็กเล็ก จนรวบรวมเป็นข้อมูลด้านการศึกษาที่เป็นภาพใหญ่ขึ้น
รสรินทร์เน้นย้ำว่าเสียงสะท้อนของผู้ปกครองที่มีต่อระบบการศึกษานั้น เป็นเสียงที่ไม่อาจตกตะกอนในเวลาอันสั้น แต่ต้องค่อย ๆ ประมวลจากการสังเกตปฏิกิริยาอาการของลูกก่อนหรือหลังเลิกเรียน การพูดคุยกับเพื่อนผู้ปกครอง การปรึกษากับครูประจำชั้น รวมถึงการใช้ประสบการณ์จากการที่ผู้ปกครองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศสถานศึกษา
“พี่ใช้หลักสมดุลในการดำเนินชีวิตมาตั้งคำถาม ทำให้มองเห็นสภาวะยึดติดกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบเก่าของบุคลากร โดยเฉพาะข้าราชการครูที่มักจ้ำจี้จำไชเด็ก แต่เรื่อง ขาด-ลา-มาสาย การทำทัณฑ์บน หรือการคาดคั้นคะแนนเก็บของนักเรียน ทำให้พี่ต้องตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับครูไทย แล้วบทบาทของครูคืออะไร ยัดเยียดความขาวความดำให้เด็ก หรือเป็นผู้แนะแนวทางให้เด็ก?”
ความพยายามทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้เธอวิเคราะห์ออกมาเป็นปัญหาเชิงสังคมว่า
“การกดทับของระบบจากบนลงล่าง ที่ทำให้หน้าที่ของมนุษย์ครูบิดเบี้ยว การใช้สถิติความเป็นเลิศเป็นตัวประเมิน ทำให้เกิดการกวดขันเด็กแต่ด้านวิชาการ ส่วนตัวครูก็วิ่งรอบจัดผลิตผลงานเพื่อประเมินผลเลื่อนวิทยฐานะ แลกกับ ‘เงินเดือน’ มากกว่าการนำพลังนั้น มาต่อยอด ‘หน้าที่หลักทางวิชาชีพ’ คือความใส่ใจสุขภาพกาย-สุขภาพจิตของเด็ก หรือร่วมรับมือต่อปัญหาภายในครอบครัวของเด็ก”
นอกจากนี้ รสรินทร์ยังแสดงความเป็นห่วงถึงปัญหาสภาพจิตใจในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนไข้ที่เธอร่วมดูแลอยู่
“เดี๋ยวนี้ เด็กตั้งแต่ชั้นเล็ก ๆ เขาต้องเผชิญความเปราะบางในชีวิตมาก โดยเฉพาะความรุนแรงด้านอารมณ์ที่เกิดจากวิถีสุดโต่งในสังคม จากสื่อ จากผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยคำนึงถึงความหลากหลายของช่วงวัยในสังคม แม้แต่เรื่องโรคร้ายในเด็กที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจจะพูดถึง เพราะ ‘การศึกษาไทย’ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ยิ่งเป็นประเทศไทยด้วยแล้ว ใครจะริเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างก็มักเผชิญแรงต้านต่าง ๆ ทำให้ถอดใจกันไปมาก”
เพื่ออธิบายระบบการศึกษาไทยให้รอบดัาน นิสิตนักศึกษาจึงรวบรวมรูปแบบหลักสูตรสถานศึกษาไทยที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่รสรินทร์ต้องการสื่อมากยิ่งขึ้น
โรงเรียนรัฐบาล คือโรงเรียนที่จัดตั้งและบริหารงานโดยกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดหน่วยงานราชการ เช่น กรุงเทพมหานคร เทศบาลเมือง กองทัพ มีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย มุ่งเน้นให้เด็กไทยทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ไม่มีการจัดเก็บค่าเทอมรายปี แต่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมห้องเรียนพิเศษ ค่ากิจกรรม หรือค่าตำราเฉพาะ เช่น โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษา สตรีวิทยา
โรงเรียนนานาชาติ (International School) คือ โรงเรียนที่เปิดสอนโดยใช้หลักสูตรนานาชาติ เช่น หลักสูตรอังกฤษ (IGCSE, A-Level) อเมริกา หรือ IB (International Baccalaureate) และมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เป็นหลัก เน้นการเตรียมตัวนักเรียนให้สามารถศึกษาต่อหรือทำงานในต่างประเทศ โดยยังคงส่งเสริมทักษะด้านภาษาไทยและความรู้ท้องถิ่นในระดับที่เหมาะสม มีค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 200,000-1,000,000 บาท เช่น โรงเรียนบางกอกพัฒนา แองโกลสิงคโปร์ คิงส์คอลเลจ
โรงเรียนเอกชนสองภาษา/สามภาษา (Bilingual/Trilingual School) คือ โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเป็นสื่อการสอน (มักเป็นภาษาอังกฤษ) โดยอาศัยหลักสูตรแกนกลางกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับตำราที่คณาจารย์จัดทำขึ้น เพื่อแบ่งสัดส่วนการใช้ตามวิชาเรียนหรือระดับชั้น เป็นการส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนควบคู่กับการเรียนภาษาไทย เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาภาษาได้อย่างสมดุลและมีทักษะการใช้ภาษาทั้งสองในการศึกษาและชีวิตประจำวัน ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 80,000 – 400,000 เช่น กลุ่มโรงเรียนอัสสัมชัญ คณะภราดาเซนต์คาเบรียล เครือสารสาสน์
โรงเรียนวอลดอร์ฟ (Waldorf School) คือ โรงเรียนที่เน้นการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย ผ่านการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์และจินตนาการ มีการบูรณาการการเรียนการสอนแบบครบวงจร โดยใช้ศิลปะ ดนตรี การแสดง และการปฏิบัติงานเป็นแกนหลัก เน้นการเรียนรู้โดยการลงมือทำ โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ซึ่งเน้นการเรียนรู้ตามพัฒนาการทางธรรมชาติของเด็กมากกว่าใช้ตำราเรียน ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 150,000-300,000 บาท เช่น โรงเรียนเพลินพัฒนา ปัญโญทัย
โรงเรียนมอนเตสซอรี (Montessori School) คือ โรงเรียนตามแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี (Maria Montessori) ซึ่งเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงออกแบบการเรียนการสอนที่เน้นการให้เด็กเลือกทำกิจกรรมเอง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน เด็กเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์การสอนที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน อาทิ คณิตศาสตร์ ภาษา และการพัฒนาความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 80,000-200,000 บาท เช่น โรงเรียนมอตเตสซอรีเชียงใหม่
โรงเรียนวิถีพุทธ คือ โรงเรียนที่มีการจัดการศึกษาโดยยึดหลักพุทธศาสนาเป็นฐาน ส่งเสริมการพัฒนาตนเองทั้งกายและจิตใจของนักเรียนโดยให้สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา มีการนำหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และสนับสนุนให้นักเรียนฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อพัฒนาตนเองทั้งด้านจริยธรรมและศักยภาพ ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 20,000 – 80,000 บาท เช่น โรงเรียนทอสี รุ่งอรุณ
โรงเรียนทางเลือกหรือบูรณาการ คือ โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการหลายแขนงความรู้เข้าด้วยกัน โดยไม่มีการแยกวิชาเป็นเอกเทศ เช่น บูรณาการวิทยาศาสตร์และศิลปะหรือสังคมศึกษาและภาษา เพื่อให้เด็กสามารถเชื่อมโยงความรู้จากหลายด้านได้อย่างลึกซึ้ง และพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ค่าเทอมเฉลี่ยรายปี 50,000-150,000 บาท เช่น โรงเรียนปัญญาประทีป สัตยาไส
จากข้อมูลข้างต้น แม้ตัวเลือกการเข้าถึงการศึกษาและธุรกิจโรงเรียนไทย ทั้งด้านราคาและหลักสูตรจะมีความหลากหลายมาก รองรับความต้องการผู้ปกครองที่มองหาพื้นที่เรียนรู้สำหรับบุตรหลาน แต่ตัวเลือกของโรงเรียนเหล่านี้ กลับกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย เบนมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกหลานด้วยตนเอง มากกว่าการฝากความหวังไว้กับระบบหรือโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว
ปภัสรินทร์ จิรศรัณลักษณ์ ล่ามภาษาอังกฤษมืออาชีพและมหาบัณฑิตสาขาบริหารการศึกษา ผู้นิยามบทบาทหนึ่งของเธอว่า “คุณครูประจำห้องเรียนแห่งอนาคต” ปภัสรินทร์เป็นแม่ที่มีมุมมองเฉพาะตัวในการเลี้ยงลูกและเลือกสถานศึกษา โดยเธอให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘ความเป็นคน’ และการเติบโตตามธรรมชาติของเด็ก มากกว่าการมุ่งเน้นให้ลูกประสบความสำเร็จในเชิงวิชาการแบบกระแสหลัก
ความคิดของปภัสรินทร์สะท้อนผ่านการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวลูก และการเลี้ยงดูที่เปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง เธอเชื่อว่า เด็กควรได้รับการปลูกฝังให้รู้จักตนเอง เข้าใจคุณค่าในตัวเองก่อนที่จะถูกคาดหวังให้เก่งวิชาการ
ด้านการเลือกโรงเรียน ปภัสรินทร์เลือกโรงเรียนแนววอลดอร์ฟ (Waldorf) ให้กับลูกชายของเธอ เนื่องจากโรงเรียนมีแนวทางการสอนเน้นการเติบโตตามธรรมชาติและการพัฒนามนุษย์ผ่านการเรียนรู้แบบองค์กร เธออธิบายว่า แนวทางการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ส่งเสริมให้ลูกของเธอได้สัมผัสและเข้าใจโลกผ่านการสังเกตและการปฏิบัติจริงผ่านหลักการสามข้อ ได้แก่ Rhythm (จังหวะ) Repetition (การทำซ้ำ) และ Reverence (การเคารพ) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังความรู้สึกมีระเบียบวินัย การเรียนรู้ที่ฝังแน่นด้วยการทำซ้ำ ๆ เพื่อความเชี่ยวชาญ และการเคารพตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ตัวอย่างที่สะท้อนการปฏิบัติตามแนวทางนี้ คือ การใช้ ‘ขี้ผึ้ง’ เป็นสื่อการเรียนรู้ โดยให้เด็กฝึกปั้นขี้ผึ้งแทนที่จะใช้ดินน้ำมัน ซึ่งขี้ผึ้งจะมีความอ่อนหรือแข็งตามอุณหภูมิ ปภัสรินทร์อธิบายว่า การปั้นขี้ผึ้งช่วยให้เด็กเข้าใจถึงการปรับตัว เพราะขี้ผึ้งมีลักษณะยืดหยุ่นในบางสภาพและแข็งทื่อในบางเวลา ซึ่งเปรียบได้กับจิตใจมนุษย์ที่ต้องรู้จักปรับให้เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ความเข้าใจนี้จะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นคนที่มีความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงได้ดี ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ปภัสรินทร์ยังสนับสนุนการเลี้ยงลูกให้เป็นธรรมชาติที่สุด โดยไม่พยายามควบคุมหรือกดดันลูกให้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และลองทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ
ปภัสรินทร์เชื่อว่า ‘การศึกษาไทย’ ในปัจจุบัน ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เขยิบมาสู่ ‘โลกดิจิทัล’ ชนิดไร้พรมแดนการสื่อสาร เธอมองว่าการเรียนรู้ควรจะเกิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือกับสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าที่จะมุ่งหวังเพียงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือการได้ปริญญาตรี และการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องเก่งด้านวิชาการทั้งหมด แต่ควรมีทักษะที่จำเป็นและมีความมั่นใจในตนเองเพื่อที่จะก้าวไปในทิศทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เพราะรากฐานของการสร้างความยืดหยุ่นและความหลากหลายในการรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ จะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันทั้งความคิดและอารมณ์ ทำให้การใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองโลกสามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ปภัสรินทร์เชื่อว่าความสุขในชีวิตขึ้นอยู่กับการที่เรามีความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือกับทุกสถานการณ์ ซึ่งจะทำให้เราไม่เครียดและสามารถเผชิญหน้ากับอนาคตได้อย่างมีความสุข
“พี่ไม่เคยนึกบังคับตัวเองหรือตั้งความหวัง ว่าจะต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนแบบไหนตามใจตัวเองเลย แต่การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองมาแต่ต้นคนเดียว ทำให้เราเห็น ‘ความเป็นไปได้’ ของลูกที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในระบบและเลือกเส้นทางนั้น เรียกว่า ‘พิจารณาลูกเป็นแก่น แล้วค่อยเสริม’ เวลาพี่ได้พูดกับเพื่อนที่มีลูกอ่อน จึงมักบอกว่า การเลือกโรงเรียน ควรพิจารณาจากพฤติกรรมและพัฒนาการก่อนเข้าโรงเรียน ไม่ใช่การยัดเยียด และในฐานะพ่อแม่ เราควรร่วมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปพร้อมกับลูก เพื่อเวลาวัดประสิทธิผลกับตัวเอง จะได้ย้ำเตือนว่า เราเลี้ยงเขาไว้เพื่อเป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับคนอื่น” ปภัสรินทร์กล่าว
อีกแง่มุมหนึ่ง คือความเกี่ยวเนื่องของสถาบันครอบครัว ปภัสรินทร์มองว่า พ่อแม่ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบการเลี้ยงลูกหรือการศึกษาในอดีตจนเกินไป เธอเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่จะปรับตัวในปัจจุบันและอนาคตเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า เธอไม่ได้บังคับให้ลูกต้องเข้าใจชีวิตในแบบที่เธอเติบโตมา
“การเลี้ยงลูก… แม่ทุกคนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single mom) ในตัวเอง เช่นเดียวกับพ่อทุกคนที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) และมุ่งทำหน้าที่ในส่วนตัวเองให้ดีที่สุดสำหรับลูก อย่าให้ค่านิยมของสังคมมาทำให้เราเข้าใจรูปแบบวิธีการเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ แล้วตีตราคุณค่าของคำว่า ‘ครอบครัวสมบูรณ์แบบ’ ว่าต้องมีทั้งพ่อ-แม่”
ปภัสรินทร์ยังกล่าวว่า เธอไม่ได้พยายามสอนลูกทุกอย่างในชีวิต เพราะเธอเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้และสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ เธอหวังว่าเมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาจะสามารถเลือกเส้นทางที่เป็นตัวของตัวเอง และมีทักษะในการอยู่ร่วมกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดี การเลี้ยงลูกของปภัสรินทร์จึงไม่ใช่เพียงการสนับสนุนลูกให้เติบโต แต่เป็นการสอนให้ลูกมีความยืดหยุ่น มีความมั่นใจในตัวเอง และรู้จักเคารพผู้อื่น เธอเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีทรัพย์สิน แต่ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่เราสร้างขึ้นในตัวเอง และเธอหวังว่าลูกของเธอจะสามารถเขียนเรื่องราวชีวิตของตนเองได้อย่างเต็มที่
ธนันรดา ธนานาถ ผู้มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาศักยภาพเด็ก เยาวชน และความสัมพันธ์ในครอบครัว (Private Parenting & Family Coach) หนึ่งในตัวแทนแม่นักการศึกษา ให้ความเห็นถึงปัญหาแฝง อย่าง ‘ความคาดหวัง’ และ ‘ความรู้สึกเปรียบเทียบ’ ของผู้ปกครอง จนเกิดเป็นความกดดันแก่ลูกหลานให้ตกอยู่ในวงจรการศึกษาที่มุ่งเน้นแต่วิชาการ
“ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของสื่อสังคมและเป้าหมายที่ฉาบฉวยค่ะ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบลูกผ่านคำพูดหรือคอมเมนต์ในโพสต์ต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา อยากมีอยากเป็นแบบคนอื่นบ้าง แล้วบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ หรือไม่เหมาะสมกับวัยที่เขาจะทำ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างแน่นอนค่ะ” ธนันรดากล่าว
จิตใต้สำนึกของเด็กจะเปิดเต็มที่ช่วง 7-10 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ ทดลอง และทำความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ แต่เมื่อใดที่ผู้ปกครองเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น ยัดเยียดวิชาการการแข่งขันให้กับเด็ก ธนันรดามองว่า นี่คือสิ่งที่สามารถยับยั้งพัฒนาการของเด็กได้ คือเด็กอาจจะเก่งจริง แต่เก่งเฉพาะด้านวิชาการที่ถูกเคี่ยวเข็ญบังคับ เพราะเขาถูกสร้างหรือหล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่เก่งในทักษะใดทักษะหนึ่ง แม้ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรต้องโฟกัสกับลูก ตั้งแต่ระดับจิตใจหรือจิตวิญญาณ เพราะการจัดการทางอารมณ์และความคิด จะเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนความสามารถทางวิชาการหรือการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
ณหทัย เด่นอุดม นักสื่อสารการตลาดเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรสองภาษา ผู้บอกเล่าถึง ‘ความทุกข์’ ของครอบครัวเมื่อระบบการศึกษาส่งผลกระทบต่อลูกของเธอ และส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวไม่เป็นสุข จนทำให้เธอและสามี หันมาเอาจริงเอาจังกับการถอดบทเรียนระบบการศึกษาร่วมกับเครือข่ายผู้ปกครองปัญญาประทีป หนึ่งในโรงเรียนประจำทางเลือก ที่ผู้ปกครองทุกคนได้รับมอบหมายให้ส่งต่อความรู้-ความหมายของธรรมชาติระหว่างกันและสู่สังคม
“ย้อนกลับไปราว ๆ สิบปีก่อน ที่ผู้มีส่วนได้เสียในระบบการศึกษาไทย (Stakeholders) ยังมีช่องโหว่ระหว่างกันมาก การสื่อสารระหว่างสามเส้า คือ ครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง เป็นเหมือนความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครอยากก้าวก่ายกันมากนัก การรังแกกันในชั้นเรียน การให้ท้ายเด็กบางคน การมุ่งเน้นผลเลิศทางวิชาการมากกว่าการเรียนเพื่อเป็นมนุษย์ ทำให้ครอบครัวของเราตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่า บาดแผลทางกายและความเจ็บปวดจากคำพูดที่ลูกได้รับจากห้องเรียน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขาในการเรียนรู้ จนทำให้ลูกไม่อยากไปเรียนและเริ่มทำร้ายร่างกายตนเองตอนเด็ก ทำให้เราหันมาพูดคุยกันในครอบครัวและตัดสินใจให้ลูกลาออกมาสอนแบบการเรียนรู้นอกระบบสถาบันการศึกษา (Home Schooling) ค่ะ” ณหทัยกล่าว
เป็นความน่ายินดีที่การเรียนการสอนจากพ่อแม่โดยตรง เป็นการเยียวยาบาดแผลทางกายและใจเด็กที่ได้ผลชะงัด ณหทัยได้พาลูกชายของเธอ ไปสัมผัสการเรียนรู้นอกห้องเรียน ผ่านการเก็บเกี่ยวลงมือปฏิบัติ โดยแบ่งความรับผิดชอบด้านวิชาการให้สามี ผู้เป็นอดีตอาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์ ส่วนเธอจะคอยจูงมือลูกพูดคุยกับชาวบ้านบนดอยต่าง ๆ คราวละหลายเดือน เพื่อให้ลูกซึมซับการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความหลากหลาย อันเป็นทักษะที่มีความเฉพาะด้าน ยิ่งกว่าการจับจดกับหน้าตำรา
“การออกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้แล้วเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวเราปลดล็อกจากกรอบค่ะ พี่ว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวทุกคน รู้หน้าที่ รับผิดชอบ เคารพเส้นทางและสิทธิของตัวเอง แบบที่เรียกว่า ‘วิชาชีวิต’ โดยที่ใช้ความสุข-ความสนุกของลูก เป็นสารตั้งต้นให้พ่อกับแม่ได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนแบบเฉพาะ (Specially Crafted) ทุกวัน การพาลูกลาออกที่ตอนแรกเห็นความกังวลว่าลูกเราจะแตกต่าง แต่เมื่อเราได้ศึกษาระบบของกระทรวงศึกษาธิการ จึงทราบว่ายังมีบุคลากรการศึกษาอีกจำนวนไม่น้อย ที่พร้อมช่วยเหลือกลุ่มพ่อแม่ทางเลือก ในการให้ลูกได้สอบเทียบความรู้กับชั้นเรียนสามัญในระบบโรงเรียนทั่วไป เมื่อถึงชั้นมัธยมต้น หลังจากได้เห็นลูกถูกติดปีกแล้ว ครอบครัวเราได้พูดคุยกันว่า เราและลูกอยากกลับไปร่วมสร้างเครือข่ายโรงเรียนที่เข้มแข็งสักที่ จึงได้เลือกโรงเรียนประจำทางเลือก คือ ‘โรงเรียนปัญญาประทีป’ ในการดูแลของพระอาจารย์ชยสาโร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานศึกษาต้นแบบของการส่งต่อความรู้ด้านการศึกษาประเภทสากลนิยมหรือหลากหลายนิยม (Cosmopolitanism)’ หรือการสอนบนแนวคิดหลากหลาย ซึ่งนับเป็นเทรนด์การศึกษาใหม่ที่ประเทศไทยเริ่มนำใช้มากขึ้นค่ะ”
นิสิตนักศึกษาหวังให้ตัวแทนเสียงผู้ปกครองทุกคนนี้ ได้สะท้อนบางส่วนบางมุมของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างความรักลูกของสถาบันครอบครัว ที่เกี่ยวโยงกับระบบการศึกษาไทยมากยิ่งขึ้น ด้วยเชื่อว่า การเติบโตที่ดีของมนุษย์คนหนึ่ง ย่อมอาศัยส่วนผสมของ ‘ความเข้าใจ’ ‘ความร่วมมือ’ และ ‘ความรัก’ ของทุกฝ่ายเสมอไป
Share this: