Community Economy Lifestyle Top Stories

ร้านขายของชำ : ศูนย์รวมความสัมพันธ์ที่กำลังเลือนหาย

ร่วมสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างร้านขายของชำกับผู้คนในชุมชน ทั้งร้านที่ขายดีและซบเซาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมมองร้านขายของชำในมิติเศรษฐศาสตร์

เรื่อง-ภาพ : ดนพร สุปัญญา

สำหรับใครหลายคน ร้านขายของชำคงเป็นสถานที่ ‘คุ้นเคย’ ด้วยลักษณะของพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของคนในชุมชน ทุกคนในชุมชนเข้าถึงได้ และเจ้าของร้านกับลูกค้าต่างมีอีกหนึ่งสถานะคือเป็น ‘เพื่อนบ้าน’ กัน ทำให้เกิดการให้บริการที่เฉพาะตัวขึ้นอยู่กับร้านค้าแต่ละร้าน และลูกค้าแต่ละคน ซึ่งเป็นความพิเศษของการค้ารูปแบบนี้

ขณะเดียวกัน ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อร้านสะดวกซื้อรายใหญ่มากขึ้น ส่งผลให้ร้านขายของชำในหลายพื้นที่ทยอยปิดตัวลง แม้ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่จะมีของกิน-ของใช้ขายอย่างครบครัน กระนั้นปฏิสัมพันธ์ที่ ‘คุ้นเคย’ กลับเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากร้านค้าแฟรนไชส์เหล่านี้

นิสิตนักศึกษาชวนสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างร้านขายของชำกับผู้คนในชุมชน ผ่านร้านชำสามร้าน ทั้งร้านที่ขายดีและซบเซาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมมองร้านขายของชำในมิติเศรษฐศาสตร์กับ ธานี ชัยวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ร้านชำใจกลางเมือง

กลางย่านดินแดงที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทเข้าถึง ร้านค้าและร้านอาหารมากมายตั้งอยู่ทุกซอกทุกมุม ภายในซอยตึกคู่ฟ้า ร้านขายของชำขนาดเล็กร้านหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใกล้กับร้านขายผัดไทและร้านรับซักผ้า เช่นเดียวกันกับร้านอื่น ๆ ในละแวกนี้ – ร้านชำแห่งนี้เป็นตึกแถวคู่เดียว ชั้นล่างเปิดกิจการ ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของร้าน

ร้านขายของชำไร้ชื่อที่คนในพื้นที่พากันเรียกว่า ‘ร้านเจ๊หลิน’ ตามชื่อเจ้าของร้าน หน้าตาไม่ต่างจากร้านขายของชำที่เราคุ้นเคยกันในอดีต หน้าร้านมีตู้แช่เครื่องดื่มตั้งอยู่ 2 ตู้ ภายในร้านมีช่องทางเดินแคบ ๆ สองช่องขนาบข้างด้วยชั้นวางของกิน ของใช้ ขนมกรุบกรอบ และสารพัดสินค้าต่าง ๆ ที่เราสามารถพบเจอได้ในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ทั่วไป เว้นแต่ที่นี่มีรอยยิ้มของเจ๊หลินและครอบครัวที่สื่อความหมายว่า ‘ยินดีต้อนรับ’ ให้กับลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามา

ร้านเจ๊หลิน ดินแดง กรุงเทพฯ

ภควัต เอี่ยมรัตนโชค ลูกชายวัย 23 ปีของเจ๊หลินเล่าให้นิสิตนักศึกษาฟังว่า ร้านชำของครอบครัวเขาเปิดมากว่า 60 ปี ตั้งแต่รุ่นอาม่า เดิมร้านชำแห่งนี้เน้นขายข้าวสาร เบียร์ ขนมโบราณ อีกทั้งยังมี ‘น้ำปลาแบบเปลี่ยนขวด’ ซึ่งเป็นสินค้าปกติที่พบได้ในร้านชำสมัยก่อน เมื่อเวลาผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ร้านชำแห่งนี้ก็มีหน้าตาร่วมสมัยมากขึ้น คือมีขนมกรุบกรอบนานาชนิดวางขาย

ร้านเจ๊หลินเป็นที่รู้จักของผู้คนในชุมชนเพราะเปิดกิจการมานาน ทำให้พวกเขาต่างคุ้นเคยกับลูกค้าเป็นอย่างดี ภควัตเล่าว่าลูกค้าที่รู้จักกันมานานมักปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งเป็นจุดแข็งของร้านชำที่แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายใหญ่

“เด็ก ๆ จะอยากซื้อลูกอมแต่แม่เขาไม่ให้อยากซื้อ เราก็ต้องไปบอกว่า อันนี้เผ็ดนะ หรืออย่างขนมกูลิโกะที่ราคา 20 บาท ส่วนใหญ่เขาจะไม่ซื้อให้เด็กเล็ก ๆ กัน เขาจะให้ซื้อแค่ขนมซองละ 5 บาท แม่เขาก็จะขยิบตาส่งสัญญาณให้เราบอกลูกเขาว่าอันนี้เผ็ด กินไม่ได้ เขาจะไม่บอกว่ามันแพง แต่จะบอกว่ามันเผ็ด” 

นอกจากลูกค้าที่รู้จักกันมานาน ร้านเจ๊หลินยังเป็นมิตรกับลูกค้าหน้าใหม่ ภควัตเล่าว่าช่วงหลังมานี้ มีคนอินเดียเข้ามาเช่าอะพาร์ตเมนต์ใกล้ร้านเยอะขึ้น ซึ่งเจ๊หลินและลูกค้าชาวอินเดียบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง เวลาซื้อของจึงทำท่าทางเพื่อพยายามสื่อสารแทน เช่น ทำท่าซักผ้า เมื่อมาซื้อผงซักฟอก กำแพงภาษาจึงไม่ใช่อุปสรรคเพราะร้านเจ๊หลินยินดีที่จะบริการลูกค้าอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ภควัตให้ข้อมูลว่า บริเวณหน้าปากซอยมีร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่ครบครันกว่าร้านชำของเขาถึงสามร้าน โดยร้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเพียงเกือบหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ไกลหากขับรถยนต์หรือขี่มอเตอร์ไซค์ไป แต่สำหรับระยะทางเดินเท้าแล้วถือเป็นระยะทางที่ยาวไม่น้อย

“เอาจริง ๆ แถวนี้ก็แอบสลัม และไม่ใช่ทุกคนที่มีมอเตอร์ไซค์ การเดินออกไปเกือบโล ก็ถือว่าไกล เขาก็ไม่เดิน คนที่ขี้เกียจออกไปก็มาซื้อร้านชำกัน ก็ยังดีที่ร้านสะดวกซื้อไม่มาเปิดในซอย” ภควัตกล่าว

ร้านชำรุ่งเรือง

ที่ตั้งของร้านเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลว่าร้านขายของชำจะขายดีหรือซบเซา นิสิตนักศึกษาขอพาทุกคนออกจากเมืองใหญ่ไปสู่ ต.ชากบก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งตึกสูงของเมืองหลวงถูกแทนที่ด้วยภูเขาลูกโตและสวนผลไม้นานาชนิด ในตำบลนี้ มีร้านขายของชำแห่งหนึ่งเป็นพื้นที่ให้คนในชุมชนได้มาซื้อของกิน-ของใช้ พร้อมแวะคุยกับเพื่อนบ้านอย่างออกรส ราวกับว่านี่เป็นอีกบริการหนึ่งที่ร้านชำแห่งนี้มีขาย

ร้านผู้ใหญ่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

‘ร้านผู้ใหญ่’ คือชื่อที่คนในชุมชนใช้เรียกร้านขายของชำแห่งนี้ ตามตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของ น้าติ๊ด-สุทธาทิพย์ เสถียรเขต เจ้าของร้านวัย 51 ปี แม้น้าติ๊ดจะเพิ่งได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหลังจากมีร้านขายของชำมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม

“ยายเปิดร้านมาตั้งแต่อายุ 25 ตอนนี้ก็ผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ขายดีกว่าเมื่อก่อน เพราะมีโรงงานขนมปังมาเปิดใกล้ ๆ พนักงานโรงงานเขาก็มาซื้อของกัน” แม่ของน้าติ๊ด เจ้าของร้านรุ่นแรกเล่าให้ฟัง

น้าติ๊ดเล่าว่าเมื่อก่อนที่ร้านเคยขายของเล่น แต่เลิกขายไปในช่วงหลัง เพราะสงสารผู้ปกครองที่ไม่มีเงินซื้อให้ลูก เวลาลูกเห็นของเล่นแล้วร้องอยากได้ ในทางกลับกัน แม้จะเลิกขายของบางประเภท แต่ร้านผู้ใหญ่ก็ยังลงสินค้าใหม่ ๆ ตามที่มีลูกค้ามาถามหาเช่นกัน โดยน้าติ๊ดมองว่าละแวกชุมชนของตนอยู่ไกลจากตัวเมืองและห้างร้านต่าง ๆ ร้านขายของชำของเธอจึงเป็นแหล่งเดียวที่คนในชุมชนจะหาซื้อของกิน-ของใช้ต่าง ๆ ได้สะดวกที่สุด

รายการสินค้าที่มีลูกค้าถามหา

ระหว่างที่นั่งคุยกับน้าติ๊ดอยู่หน้าร้าน เจ๊โอ๋ หญิงวัยราว ๆ 30 ปีเดินมาซื้อของกิน พร้อมถามหาพัสดุ ในตอนแรก เข้าใจว่าเธอสั่งของออนไลน์ด้วยกันกับคนที่ร้าน แต่เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่า เจ๊โอ๋เพียงสั่งของมาส่งที่ร้านผู้ใหญ่ เพราะที่บ้านเธอไม่มีใครคอยอยู่รับของให้

“เรามาร้านนี้ทุกวัน วันละหลายรอบ ปกติก็ซื้อหลายอย่าง หลัก ๆ ต้องมากินกาแฟร้านนี้ แต่ไม่ใช่กาแฟสดนะ กาแฟกระป๋อง” เจ๊โอ๋เล่าด้วยอารมณ์ขัน และเสริมว่าเธอชอบมาซื้อของที่ร้านผู้ใหญ่มากกว่าไปห้างหรือร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ เพราะที่นี่มีความเป็นกันเอง 

เจ๊โอ๋นั่งคุยกับน้าติ๊ดและคนที่ร้านต่อราว 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้น ก็มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเดินเข้ามาซื้อของที่ร้านเรื่อย ๆ พวกเขาทักทายกันอย่างสนิทสนม ทำให้เห็นถึงความเป็นกันเองที่เจ๊โอ๋พูดถึง

อีกความพิเศษที่ทำให้ร้านผู้ใหญ่ – และร้านขายของชำทั่วไป แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายใหญ่คือ ร้านค้าเหล่านี้ยินดีให้ลูกค้าติดเงินไว้ก่อนและค่อยจ่ายเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนเมื่อถึงกำหนดในภายหลัง

“เราให้ติดเงินได้ แต่ก็ต้องจ่ายตรงเวลา บางคนเขาทำงานโรงงาน ได้เงินรายสัปดาห์ รายเดือน ก็แล้วแต่คุยกัน เขาก็จ่ายกันตรงเวลาตลอด” น้าติ๊ดอธิบาย

ร้านชำโรยรา

แม้จะมีร้านขายของชำที่ปัจจุบันขายดีกว่าเมื่อก่อน ในทางกลับกันก็มีร้านที่ซบเซาลงเรื่อย ๆ แต่ยังสู้เปิดต่อมาได้จนเข้าปีที่ 35 อย่างร้านชำของ ป้าเหงี่ยม-นพภา (สงวนนามสกุล) วัย 74 ปี ในพื้นที่ ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี หากมองร้านชำแห่งนี้เผิน ๆ คงสามารถเดินผ่านไปโดยไม่รู้ว่ามีของขาย ด้วยลักษณะที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้านและไม่มีตู้แช่เครื่องดื่ม ถังน้ำแข็ง หรือชั้นวางขนมกรุบกรอบเหมือนภาพจำของร้านชำที่เราคุ้นเคย

ภายในร้านป้าเหงี่ยม อ.บางแพ จ.ราชบุรี

ป้าเหงี่ยมเล่าว่า เมื่อก่อนที่ร้านเคยมีตู้แช่และถังน้ำแข็ง แต่พอเริ่มขายของได้น้อยลงเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจขายทิ้งไป เพราะหากเก็บไว้ก็ต้องเสียค่าไฟจำนวนมาก ปัจจุบัน เธอเปลี่ยนมาแช่เครื่องดื่มและน้ำแข็งสำหรับขายไว้ที่ตู้เย็นด้านในบ้านของเธอเอง

“เมื่อก่อนสมัยที่พ่อของป้ายังอยู่ เพื่อน ๆ เขาชอบมานั่งคุยกัน แล้วก็มาซื้อคาราบาว ซื้อเอ็มร้อยกิน เดี๋ยวนี้พอคนเก่า ๆ ตายไป คนรุ่นใหม่ก็ไปเข้าร้านสะดวกซื้อ ไปหากินข้างนอกกัน” ป้าเหงี่ยมอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าเข้าร้านน้อยลง

ในร้านขายของชำแห่งนี้ไม่ได้มีของกินหรือของใช้ให้เลือกซื้อมากนัก แต่สิ่งที่สะดุดตาคือน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังหลายแพ็กที่วางเรียงกันอยู่ เมื่อขายไม่ดีเหมือนก่อน ป้าเหงี่ยมจึงเลือกเติมของเข้าร้านเฉพาะสินค้าที่มีลูกค้ามาซื้อเรื่อย ๆ 

คลังน้ำอัดลมของร้านป้าเหงี่ยม

“ปกติจะมีขาประจำเป็นคนแก่มาซื้อน้ำเขียววันละ 2 ขวด แล้วก็ลิโพวันละขวด” ป้าเหงี่ยมเล่าและเสริมต่อว่าเธอเคยซื้อของบางอย่างมาไว้นานจนของใกล้หมดอายุแต่ยังขายไม่หมด เธอจึงต้องนำมาใช้เอง 

ร้านขายของชำแห่งนี้ค่อย ๆ สลัดคราบของตนทิ้งไป ทำให้เป็นเหมือนเพียงที่อยู่อาศัยซึ่งมีของขาย จากร้านที่เคยมีลูกค้ามานั่งคุยกันอย่างคึกคักก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้านที่เงียบเหงา แม้ป้าเหงี่ยมจะไม่ต้องเสียภาษีกิจการร้านชำแห่งนี้เพราะในหนึ่งปีขายได้ไม่ถึงหนึ่งแสนบาท แต่เธอก็ยังไม่ได้ไปยกเลิกทะเบียนการค้า ลายลักษณ์อักษรบนกระดาษจึงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันได้ว่าที่นี่คือร้านขายของชำ

ร้านขายของชำในมิติเศรษฐศาสตร์

ธานี ชัยวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า มนุษย์มีความสัมพันธ์ต่อกันสามด้าน คือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และความสัมพันธ์ผ่านระบบตลาดที่มีเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน โดยความสัมพันธ์รูปแบบนี้เป็นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐศาสตร์

ธานีมองว่าความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐศาสตร์นี้สามารถถูกแบ่งได้เป็นสี่ยุค ดังนี้ 

1) การแลกเปลี่ยนสินค้ากันโดยยังไม่ใช้เงินเป็นสื่อกลาง 

2) การใช้เงินเป็นสื่อกลาง โดยเงินในที่นี้อาจเป็นเบี้ย หอย หรือธนบัตร ตามบริบทแต่ละสมัย ซึ่งในยุคนี้ผู้ขายอาจคิดราคากับผู้ซื้อตามความสัมพันธ์ส่วนบุคคล สามารถลดราคาให้ได้ตามความพึงพอใจที่มีต่อกัน เป็นยุคที่ความสัมพันธ์ผ่านระบบตลาดทำงานร่วมกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล 

3) การค้าขายแบบห้างสรรพสินค้า เป็นการขายแบบไม่มีความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้อง กำกับราคาสินค้าชัดเจน ลดราคาเฉพาะช่วงที่จัดโปรโมชันเท่านั้น 

4) ยุคที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการตลาดเชิงประสบการณ์ (Experience marketing) คือผู้ขายไม่ได้ขายเพียงสินค้าแต่นำความสัมพันธ์มาเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าและบริการด้วย 

“ทุนนิยมฉลาดมาก พอยุคที่สี่ เราไม่อยากไปร้านกาแฟแล้วสั่งกาแฟมานั่งกินคนเดียวในร้าน ไม่มีใครคุยกับเรา เราไม่อยากซื้อของในร้านค้าที่พนักงานมีหน้าที่ให้ข้อมูลแค่ว่าอันนี้ขายราคาเท่าไหร่ เราอยากได้คนคุย คนแนะนำที่จริงใจเสมือนเพื่อนสนิท ทั้งที่เขาอาจถูกเทรนมา”

การตลาดเชิงประสบการณ์ที่ร้านค้ารายใหญ่ซึ่งมีหลายสาขาทำการตลาดโดยการอบรมให้ ‘พนักงานทุกคน’ บริการ ‘ลูกค้าทุกคน’ แบบเป็นมิตร สะท้อนกลับมายังอัตลักษณ์อันโดดเด่นของร้านชำซึ่งอยู่ในยุคที่สอง ที่ผู้ขายมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าผ่านความสัมพันธ์ส่วนบุคคลจริง ๆ โดยที่ไม่ได้ถูกฝึกมา

อย่างไรก็ดี ในการแข่งขันกันระหว่างร้านขายของชำดั้งเดิมและร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ แม้ร้านขายของชำจะมีจุดเด่นในแง่ความสัมพันธ์ แต่บริบททางสังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปกลับเอื้อประโยชน์ให้ร้านสะดวกซื้อมากกว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี คนย้ายถิ่นฐานเยอะ ทั้งย้ายไปทำงานและเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างคนขายและลูกค้าที่เป็นคนในชุมชนเดียวกันจึงลดลงเรื่อย ๆ อีกทั้งยังอาจมีความขัดแย้งกันระหว่างเจเนอเรชัน (Generation) ทำให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าไม่อยากคุยกัน

ธานีชี้ว่าสิ่งที่ภาครัฐพึงทำได้เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันให้กับร้านขายของชำคือ การให้เงินอุดหนุนเพื่อ ‘อุ้ม’ ร้านขายของชำ โดยตัวอย่างของประเทศที่ใช้นโยบายนี้คือประเทศอิตาลี เนื่องจากรัฐบาลอิตาลีมองว่าร้านขายของชำเป็นศูนย์รวมความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นของชุมชน อย่างไรก็ตาม หลายประเทศถกเถียงกันเกี่ยวกับแนวทางนี้ เพราะเงินที่รัฐบาลใช้อุดหนุนร้านขายของชำมาจากภาษีประชาชนทั้งประเทศ หากรัฐบาลใช้นโยบายนี้ก็จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีว่า เหมาะสมแค่ไหนที่จะนำเงินภาษีไปให้คนบางกลุ่ม

แนวทางที่สองคือ การออกแบบนโยบายที่ไม่สนับสนุนให้ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ผูกขาดตลาด เพราะนอกจากการผูกขาดตลาดจะลดโอกาสแข่งขันของร้านชำแล้ว ด้วยปัจจัยการเป็นผู้ประกอบการน้อยรายยังส่งเสริมให้ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่สามารถกดราคาซัพพลายเออร์ (Supplier) และเพิ่มระยะเวลาเครดิตเทอม (Credit term) ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ประกอบการนำวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ไปใช้ก่อนและค่อยจ่ายเงินทีหลัง

อีกหนึ่งแนวทางที่ถูกนำมาใช้ในอิตาลีคือ เมื่อธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade) มาเปิดในชุมชน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะให้โอกาสร้านขายของชำในชุมชนมีสิทธิ์ถือหุ้นร้านใหม่ก่อน ซึ่งแนวทางนี้แสดงให้เห็นว่า ร้านขายของชำจะค่อย ๆ ถูกเปลี่ยนไปเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ร้านชำท้องถิ่นไม่ได้รับผลกระทบหนักเกินไป

“ถ้ามองตามนี้เราจะเห็นว่ากลไกภาครัฐไทยไม่ได้สนับสนุนร้านขายของชำและไม่ได้ต่อสู้มากนักกับการผูกขาดของร้านสะดวกซื้อ” ธานีอธิบาย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโครงการธงฟ้าราคาประหยัด ซึ่งเป็นโครงการที่ให้ร้านค้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงร้านขายของชำสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถชำระเงินในร้านธงฟ้าผ่านบัตรฯ ของตนได้ด้วยเงินที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลเดือนละ 200-300 บาท แต่โครงการนี้ก็ไม่ได้เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ร้านขายของชำท้องถิ่นเท่าไรนัก 

ธานีมีความเห็นว่าแนวทางการสนับสนุนที่สามารถเพิ่มโอกาสให้ร้านขายของชำอยู่รอดได้คือการสร้างฐานข้อมูลให้ร้านขายของชำทั้งหมดอยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน มีระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวทางนี้ต้องถูกนำมาใช้ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ให้คนไปใช้บริการร้านขายของชำด้วย และในฝั่งร้านขายของชำเอง ธานีเสนอว่า การปรับตัวมาขายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยก็สามารถเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดให้ร้านชำได้มากขึ้นเช่นกัน

ธานีทิ้งท้ายว่าเมื่อร้านขายของชำมีจำนวนลดลง หลายชุมชนในประเทศไทยจึงขาดพื้นที่สาธารณะ (Public space) ให้คนในชุมชนได้มาพบปะและพูดคุยกัน ประเด็นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่จะต้องจัดสรรพื้นที่สาธารณะเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของผู้คน