Social Issue Top Stories

เมื่อคริสตชนเป็น LGBTQIA+ (1) : เสียงของ ‘ศรัทธา’ ที่ไม่ลดหายแม้กายจะถูก ‘กดดัน’

เรื่องราวของคริสตชนผู้มีความหลากหลายทางเพศกับความกดดันที่ต้องเผชิญในคริสตจักรภายใต้ความเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ และอาจไม่สามารถจัดพิธีสมรสในโบสถ์ได้ แล้วอะไรทำให้พวกเขาเหล่านี้ยังคงเลือกที่จะเชื่อในศาสนานี้อยู่

เมื่อปี 2567 ประเทศไทยได้ผ่าน ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 ม.ค. 2568
นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความก้าวหน้าของสังคมในด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางกฎหมาย ผ่านการให้สิทธิบุคคลทุกเพศสมรสกันได้จากเดิมถูกจำกัดไว้แค่ ‘ชาย-หญิง’ นำมาสู่การเปิดให้คู่รักจากกลุ่มหลากหลายทางเพศสามารถเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ทั้งสิทธิการจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส สิทธิรับบุตรบุญธรรม และสิทธิการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลคู่สมรส

แม้จะได้รับสิทธิทางกฎหมายแล้ว แต่ผู้มีความหลากหลายทางเพศบางกลุ่มยังอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่น ๆ ทั้งในการใช้ชีวิตทั่วไปและการจัดพิธีสมรส อย่างในชุมชนคริสเตียนที่ยังคงยึดถือแนวปฏิบัติทางศาสนาแบบดั้งเดิม ทำให้การแต่งงานในคริสตจักรสำหรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศยังคงเป็นเรื่องที่ถูกปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางความเชื่อหรือมุมมองของผู้นำทางศาสนา

คริสเตียนผู้มีความหลากหลายทางเพศหลายคนยังต้องต่อสู้กับการยอมรับตัวตนในคริสตจักร ตั้งแต่การถูกมองว่าเป็นคนบาป ถูกตั้งคำถามถึงศรัทธาในพระเจ้า การพยายามโน้มน้าวให้กลับมาเป็นคนตรงเพศกำเนิดหรือสเตรท (Straight) อันเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้าง ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในด้านพิธีสมรสเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนจิตใจและความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งในชุมชนคริสเตียน

สำหรับคริสเตียน การไปโบสถ์ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมทางศาสนา แต่เป็นส่วนสำคัญของความเชื่อและการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของพระเยซู คือ เป็นช่วงเวลาที่จะได้เรียนรู้พระคำพระเจ้าหรือทำความเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น ผ่านการเทศนาโดยศิษยาภิบาลและชั้นเรียนพระคัมภีร์ (Bible Study) นอกจากนั้น ยังทำให้ได้รู้จักคนที่มีความเชื่อเดียวกัน เพื่อการหนุนใจและช่วยเหลือกัน และเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวทางจิตวิญญาณ

ดังนั้น คริสเตียนจึงมี ‘โบสถ์’ ประจำของตนเอง เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคริสตชนกลุ่มเดิม โดยในหนังสือ ฮีบรู 10:24–25 กล่าวถึงความสำคัญของการเข้าร่วมชุมชนคริสเตียนว่า “และขอให้เราเอาใจใส่กันและกันเพื่อจะปลุกใจให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้น (วันสิ้นโลก) ใกล้เข้ามาแล้ว”

ทั้งนี้ ศาสนาคริสต์ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ศาสนาแห่งความรัก’ เนื่องจากมีหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดว่า

พระเยซู​จึง​ตอบ​ว่า ‘รัก​องค์​เจ้า​ชีวิต​พระเจ้า​ของ​คุณ​อย่าง​สุดใจ สุดจิต
และ​สิ้นสุด​ความคิด’ นี่​คือ​คำสั่ง​ข้อ​แรก​และ​ข้อ​สำคัญ​ที่สุด
ส่วน​คำสั่ง​ข้อ​สอง​ที่​สำคัญ​รอง​ลง​มา​คือ ‘รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตัวเอง’

มัทธิว 22:37-39

นอกจากนั้น ยังมีคำสอนอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่เน้นย้ำถึงการให้อภัยและการยอมรับผู้อื่นในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของความรัก ขณะเดียวกันก็ได้มีการพูดถึงพฤติกรรมที่ตีความได้ว่า การเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือ สิ่งที่ผิดจากที่พระเจ้าสร้าง หรือการมีเพศสัมพันธ์ในเพศเดียวกัน ‘เป็นบาป’ ดังนี้

ตั้งแต่ก่อนคริสตกาลมีการกำหนดชัดเจนถึง ‘เพศ’ ของมนุษย์ว่ามีเพียง ‘ชาย-หญิง’ ผ่านหนังสือ ปฐมกาล 1:27 ว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”

ปฐมกาล 19 กล่าวถึง ‘ความเสื่อมทรามของโสโดม’ เมืองเก่าแก่ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่ผู้คนในเมืองมีพฤติกรรมชั่วร้าย เช่น การฆาตกรรม การลักขโมย การล่วงประเวณี การบูชารูปเคารพ พฤติกรรมที่หยิ่งผยอง และการไม่ให้เกียรติต่อผู้มาเยือน หลังพระเจ้าส่งทูตสวรรค์สององค์ไปเมืองดังกล่าว และ โลท หลานชายของอับราฮัมได้ต้อนรับพวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่ผู้ชายทุกคนในเมืองต่างมาล้อมบ้านของโลทและเรียกร้องว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน? จงส่งพวกเขาออกมาให้เรา เราจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา” แม้โลทเสนอบุตรสาวพรหมจารีของเขาให้แทน แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิเสธ และนำมาสู่เหตุการณ์ที่พระเจ้าทำลายเมืองโสโดมนี้

เลวีนิติ 18:22 ในภาคพันธสัญญาเดิม กล่าวว่า “ห้ามผู้ชายหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันเช่นเดียวกับหลับนอนกับผู้หญิง เป็นสิ่งพึงรังเกียจ”

เลวีนิติ 20:13 กล่าวว่า “ชายใดนอนกับผู้ชายเหมือนอย่างกับผู้หญิง ทั้งสองคนทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ ทั้งสองคนนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายแน่ๆ ที่พวกเขาต้องตายนั้น พวกเขาเองเป็นผู้รับผิดชอบ”

ขณะที่ภาคพันธสัญญาใหม่ในหนังสือ 1 โครินธ์ 6:9 ได้กล่าวถึงผู้มีความความหลากหลายทางเพศโดยตรง คือ “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ”

หลักคำสอนดังกล่าวถูกหยิบมาใช้บ่อยครั้ง ท่ามกลางข้อถกเถียงภายใต้บริบทสังคมที่เปลี่ยนไป และนำมาสู่การตั้งคำถามสำคัญในชุมชนคริสเตียนว่า ศาสนาที่เน้นความรักนี้จะสามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกคนได้จริงหรือไม่ ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นคริสเตียนต้องเผชิญความกดดันอย่างไรในคริสตจักร อะไรทำให้พวกเขายังคงเลือกที่จะเชื่อในศาสนานี้อยู่ และ
คริสตจักรมีมุมมองอย่างไรในฐานะผู้เผยแพร่คำสอนและผู้มีอำนาจในการอวยพรความรักผ่าน ‘ศีลสมรส’ ในโบสถ์

ถ้าพระเจ้ามีจริง… ขอให้พ่อแม่ยอมรับว่าเราเป็น ‘เกย์’

“เราอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดช่วง 2-3 ปี หลังจากที่เราบอกครอบครัวว่าเราเป็นเกย์ ก็คืออธิษฐานตลอดว่า ‘ถ้าเกิดพระเจ้ามีจริง ขอให้พ่อและแม่รับได้ที่เราเป็นเกย์’ และวันหนึ่งพระเจ้าก็เปิดใจให้พ่อกับแม่รับในตัวตนของเรา เราเลยเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง”

ธนวัตน์กล่าว

ธนวัตน์ (สงวนนามสกุล) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุ 16 ปี ผู้เติบโตในครอบครัวคริสเตียนและมีพ่อเป็นหนึ่งในทีมมัคนายกหรือผู้ดูแลกิจการทั่วไปในโบสถ์ ธนวัตน์เล่าย้อนไปช่วง ม.1 เขาได้เปิดใจกับครอบครัวว่าตนเองเป็น ‘เกย์’ แต่แม่ของเขากลับตอบมาว่า “ถ้าไม่สามารถเป็นผู้ชายให้แม่ได้ เราอาจต้องแยกครอบครัวอยู่” ธนวัตน์ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 13 ปี รู้สึกเสียใจกับคำพูดดังกล่าวเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เขาตีตัวออกห่างจากศาสนา ธนวัตน์ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมกับ
คริสตจักร ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ และหมั่นอธิษฐานกับพระเจ้าให้ครอบครัวยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น จนช่วงปีที่ผ่านมาเขาตัดสินใจยืนยันกับครอบครัวอีกครั้ง และทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี

“ตอนนั้น ด้วยความที่เรายังเป็นเด็กอยู่ อายุประมาณ 13-14 ปี เราเลยรู้สึก ‘นอยด์’ ว่า ทําไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ ทําไมต้องเกิดมาเป็นคริสเตียนและต้องโดนต่อต้าน ทั้งที่เราก็เป็นคนคนนึง แต่ถามว่าเรารักพระเจ้าน้อยลงไหม เราก็ไม่ได้รักพระเจ้าน้อยลง เราก็ยังติดสนิทกับพระเจ้าอยู่ แต่แค่นอยด์นิดหน่อย” ธนวัตน์เล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น

ธนวัตน์ กล่าวว่า การได้รับการยอมรับจากครอบครัวและคริสตจักรทำให้เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในทุกสถานที่ที่เขาไป ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดหรือกดดันตนเองเพื่อให้สังคมยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น นอกจากนั้น คริสตจักรที่ธนวัตน์อยู่ก็ไม่ได้ต่อต้านหรือกีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทุกคนสามารถร่วมกิจกรรมและเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรได้ สามารถเข้าชั้นเรียนพระคัมภีร์ หรือเป็นผู้นำในการดูแลคริสตจักรเด็กได้อย่างที่ธนวัตน์เป็น

แม้จะมีบางครั้งที่การเทศนาโดยศิษยาภิบาลจะกล่าวถึงความบาปจากการ ‘รักร่วมเพศ’ ซึ่งธนวัตน์ก็รู้สึกคับข้องใจว่า “ทำไมความรักต้องถูกจำกัดไว้แค่สองเพศ?” ถึงกระนั้น ธนวัตน์ก็ไม่ได้คิดจะลุกขึ้นมาต่อต้านหรือตั้งคำถาม เพราะคิดว่า ถึงเพศวิถีของตนจะไม่ตรงกับที่คัมภีร์ไบเบิลเขียน แต่คงไม่เป็นอะไรถ้าครอบครัวและคนในคริสตจักรไม่ต่อต้านในตัวตนของเขา

นอกจากนั้น ธนวัตน์ยังคิดว่า หากวันหนึ่งตนเองมีความสัมพันธ์และได้พาแฟนไปแนะนำให้คนในคริสตจักรรู้จัก เขาก็คงไม่ถูกต่อต้าน ไม่ว่าแฟนของเขาจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม เพราะเขาเชื่อว่าคริสตจักรของเขายินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้

‘ความกดดัน’ จากคริสตจักร และ ‘การตีตัวออกห่าง’ จากศาสนา

“เดิมคนในโบสถ์ไม่รู้ว่าเราเป็นเกย์ แต่พี่เลี้ยงรู้อยู่แล้วเพราะรู้จักกันมาก่อน … วันหนึ่งเราไปปรึกษาพี่เลี้ยงเกี่ยวกับเรื่องที่เราเป็นเกย์ แล้วหลังจากวันนั้น พี่เลี้ยงก็เรียกหมู่มวลเพื่อน ๆ ในโบสถ์มาช่วยอธิษฐานให้เรา เพื่อให้เราหายเป็นเกย์ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบมาก ๆ เป็นช่วงที่เรารู้สึกไม่ชอบตัวเองที่สุดเลย เราเกลียดมาก ๆ เราไม่เข้าใจว่าทําไมต้องเป็นแบบนี้ ช่วงนั้นเรารู้สึกทรมานกับการเป็นคริสเตียนมากจน ‘อยากตาย’ เลยแหละ”

อาซาอิกล่าว
พี่เลี้ยง คือ อะไร?

‘พี่เลี้ยง’ สำหรับคริสเตียน คือ ผู้ที่ทำหน้าที่คอยดูแลและติดตามผู้ที่เชื่อใหม่ ให้มีความเข้าใจในหลักคำสอนเพื่อให้มีรากฐานที่ดีในชีวิตคริสเตียนของเขา

ที่มา : ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ : คู่มือสําหรับพี่เลี้ยง

อาซาอิ (นามสมมติ) พนักงานฟรีแลนซ์ อายุ 24 ปี เล่าถึงประสบการณ์และความรู้สึกที่เขาต้องเผชิญจากคริสตจักร หลังเป็นคริสเตียนได้ไม่นาน เดิมอาซาอิไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่ตนเองมีความสนใจและสงสัยในการมีอยู่ของ ‘พระเจ้า’ จนช่วงปีสุดท้ายของการเรียมหาวิทยาลัย อาซาอิได้รู้จักกับผู้ใหญ่ที่นับถือคนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์จึงได้มีโอกาสพูดคุยกัน ประกอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น ทำให้อาซาอิรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์

แต่หลังเปลี่ยนศาสนาได้ไม่นาน อาซาอิก็ต้องพบกับความอึดอัดจากสังคมในคริสตจักรที่เชื่อว่า “พระเจ้า​ได้​สร้าง​มนุษย์​ขึ้น​เป็น​ชาย​และ​หญิง” และมองว่าการเป็นเกย์คือสิ่งที่ผิดจากที่พระเจ้าสร้าง บทสนทนาในคริสตจักรเกี่ยวกับประเด็นความหลากหลายทางเพศส่วนใหญ่จึงมักเป็นไปในทิศทางที่ไม่สนับสนุนความรักระหว่างเพศเดียวกันและมองว่าเป็น ‘ความบาป’ ซึ่งนำมาสู่ความรู้สึกอึดอัดภายในใจของอาซาอิ

อาซาอิเล่าว่า ตนเองเริ่มรู้สึกชอบผู้ชายตั้งแต่ ม. 1 และเคยชอบผู้หญิงแต่ไม่ได้บอกใครยกเว้นคนสนิท เพราะมองว่าตนเองมีบุคลิกตุ้งติ้งประมาณหนึ่งจึงไม่ได้อยากอธิบายว่าทำไมถึงชอบผู้หญิง ซึ่งเคยมีคนบอกอาซาอิว่าเขาน่าจะเป็น ‘เควียร์ (Queer)’ แต่อาซาอิได้นิยามตนเองว่าเป็น ‘เกย์’ เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์กับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ และแฟนคนปัจจุบันก็มีเพศกำเนิดชายเช่นกัน

“ช่วงที่ผ่านมาเรามีแฟน เรารู้สึกเหมือนกำลังเอาตัวห่างจากศาสนาขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพยายามเป็นคนที่ไม่น่ารักกับพระเจ้า … ไม่ค่อยคุยหรืออธิษฐานกับพระเจ้าเท่าไหร่” อาซาอิเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับศาสนาหลังมีแฟน

การอธิษฐานสำหรับคริสเตียน

การ ‘อธิษฐาน’ สำหรับคริสเตียน คือ การพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ตั้งแต่
การขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วิงวอนให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก สารภาพบาป
และการอวยพรคนรอบตัว โดยเชื่อว่าการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ติดสนิทกับพระเจ้า เข้าใจแผนการที่พระเจ้ามีต่อชีวิต และเพื่อลดความกังวลภายในจิตใจ

ที่มา : พลังแห่งการอธิษฐาน – Mustard Seed

อาซิอิกล่าวว่า เดิมแฟนของเขาเคยเป็นคริสเตียนเหมือนกัน แต่หลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากของครอบครัวและพระเจ้าไม่ตอบกลับคำอธิษฐาน แฟนของอาซาอิจึงรู้สึกไม่พอใจและ
ตีตัวออกห่างจากศาสนา จนไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคริสเตียนแล้ว ด้านอาซาอิ แม้เขายังมี
ความสัมพันธ์และร่วมกิจกรรมกับชุมชนคริสเตียนอยู่ แต่ก็กำลังรู้สึก ‘หลงทาง’ กับศาสนาเช่นกัน

ถึงกระนั้น อาซาอิก็ยังเชื่อว่าแฟนคนปัจจุบันของเขาเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาให้ เพราะตอนนี้เขาอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสุข

“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พระเจ้ามองความสัมพันธ์ของเรากับแฟนตอนนี้อย่างไร ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันแย่ขนาดไหน แต่รู้สึกมีความสุขกับความสัมพันธ์นี้มาก ถ้าการที่เรามีความสุขแล้วพระเจ้าไม่อยากให้เรามีความสุขก็คงไม่ใช่ มันค่อนข้างย้อนแย้งกันเนอะ เราเลยพยายามไม่คิดเรื่องนี้ เพราะเราอยู่กับความย้อนแย้งนี้ไม่ได้ เลยเลี่ยงการนึกถึงมันไปเลย” อาซาอิกล่าว

‘ความหวังดี’ ที่ส่งผลร้าย สู่การเปลี่ยน ‘นิกาย’ เพื่อความสบายใจ

“ช่วงที่เรากำลังศึกษาศาสนา มีพี่เลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งกึ่งบังคับให้เราสารภาพบาปที่เป็น LGBTQIA+ เราก็เถียงตรง ๆ ว่า เราไม่ได้ทำสำส่อน เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมคนอื่นในคริสตจักรที่เป็นคนตรงเพศแต่ทำตัวหน้าหม้อ มั่วเซ็กส์  ถึงไม่โดนแบบที่เราโดน …
ปัจจุบัน เราเปลี่ยนเป็นนิกายคาทอลิกก็สบายใจขึ้น
ไม่ได้ถูกกดดันเหมือนสมัยเป็นโปรเตสแตนท์”

อังเจลุส

อังเจลุส (นามสมมติ) อดีตคริสเตียนที่ปัจจุบันเปลี่ยนมานับถือนิกายคาทอลิก อายุ 38 ปี เล่าประสบการณ์ที่เคยถูกกดดันจากบุคคลในคริสตจักรให้สารภาพบาปเพื่อกลับมาเป็นคนตรงเพศ ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว และด้วยสถานะที่ตนเองเป็นผู้ประสานงานระหว่างคริสตจักรนิกายต่าง ๆ ในประเทศไทย จึงได้มีโอกาสเรียนรู้แนวปฏิบัติและคำสอนของนิกายอื่น และเริ่มสนใจนิกายคาทอลิกเพราะเห็นว่าเป็นนิกายที่ไม่ได้มีระบบ ‘พี่เลี้ยง’ อย่างโปรเตสแตนท์

อังเจลุสรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนตรงเพศตั้งแต่ช่วงเรียน ม.ต้น คือ เริ่มมีความรู้สึกชอบดูภาพ
นายแบบผ่านนิตยสารหรืออินเตอร์เน็ต และมีกลุ่มเพื่อนกะเทยอยู่ด้วยกัน ปัจจุบัน อังเจลุสนิยามตนเองว่าเป็น ‘เควียร์’ เพราะคิดว่าเพศวิถีของตนมีความลื่นไหล และเคยมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนทั้งกับเพศชายและเพศหญิง

เดิมอังเจลุสไม่ได้เกิดมาในครอบครัวคริสเตียน แต่ได้เรียนโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่ ป.1 ทำให้พอมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่บ้าง กระทั่งช่วง ม.ปลาย ที่เขาเริ่มตัดสินใจศึกษาและเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ กระทั่งได้เผชิญกับความกดดันในคริสตจักรอย่างที่กล่าวข้างต้น
ซึ่งอังเจลุสมองว่าการกระทำเหล่านั้นเป็น ‘ความหวังดี’ ของพี่เลี้ยง แม้จะส่งผลต่อลบภายในจิตใจของอังเจลุสก็ตาม

การเปลี่ยนเป็นคาทอลิกทำให้แองเจลุสรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เพราะเป็นนิกายที่มองความบาปเป็นเรื่องส่วนบุคคล คือ ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของแต่ละคนในการพิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นบาปหรือไม่ ก่อนจะไปสารภาพกับบาทหลวงเพื่อรับ ‘ศีลแก้บาป’ โดยความบาปที่เคยทำจะถูกเก็บเป็นความลับ ซึ่งอังเจลุสมองว่าต่างจากโปรเตสแตนท์ที่ผู้นับถือต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าโดยตรงด้วยตนเอง จึงมักมีคริสเตียนที่หวังดีคอยมาเตือนให้สารภาพบาปเพื่อชำระล้างและกลับมาเป็นคนตรงเพศ

“ความบาปของคาทอลิกจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล คือ คุณพ่อ (บาทหลวง) อาจเทศนาบางประเด็นในวันอาทิตย์ แล้วถ้าจิตสำนึกของใครรู้สึกว่าตนเองกำลังทำบาป เช่น โกรธเพื่อน พูดคำหยาบ ก็จะไปสารภาพบาปกับพ่อเอง … ขณะที่โปรเตสแตนท์ไม่ได้มีระบบสารภาพแบบคาทอลิก ก็เลยกลายเป็นความหวังดีอันทารุณโหดร้าย บางทีเข้ามาถามว่า ‘เธอไปทำบาปมาหรือเปล่า’ ทำให้รู้สึกถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว” อังเจลุสกล่าว

ยังเชื่อใน ‘คู่พระพร’ อยู่ไหม? จะทำอย่างไรหากแต่งงานในโบสถ์ไม่ได้?

Christian Global Network (CGN) องค์กรสื่อคริสเตียนได้อธิบายลักษณะของ ‘คู่พระพร’ ซึ่งเป็นแนวความเชื่อเกี่ยวกับการมีคู่ครองของคริสเตียนว่า คู่พระพรคือคนที่ทำให้คริสเตียนรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น ช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตให้กันและกัน ไม่มีกำหนดการตายตัวว่าจะได้พบกันเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาในชีวิต และไม่มีทางรู้ว่าเป็นใครจนกว่าจะได้มีความสัมพันธ์ จนตัดสินใจแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกัน

ซึ่งแนวคิดเรื่องคู่พระพรมักจำกัดไว้แค่ความสัมพันธ์แบบ ‘ชาย-หญิง’ ตามการสร้างและประสงค์ของพระเจ้า นำมาสู่การตั้งคำถามว่า ‘ผู้มีความหลากหลายทางเพศยังเชื่อเรื่องคู่พระพรอยู่ไหม? แล้วคู่พระพรของเขาควรจะเป็นใคร?’

“เมื่อยึดจากหลักศาสนา ‘คู่พระพร’ ก็คงเหมือนกับที่สังคมบอกว่า เมื่อถึงเวลาที่ใช่เราก็จะเจอคนที่ใช่เอง … ซึ่งเราก็เชื่อแบบนั้นนะ แต่สำหรับเรารู้สึกว่า ถ้าคนนั้นเป็นผู้หญิงจริง ๆ ความรู้สึกของเราก็คงไม่เปลี่ยนไป … เราคงจะไม่ได้คบกับคนนั้นเป็นแฟน คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันมากกว่า”
ธนวัตน์กล่าว

ธนวัตน์เล่าว่า เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้ชอบผู้หญิงตั้งแต่อนุบาลและเริ่มชัดเจนตอนเรียน ม.ต้น อาจเพราะเขาเติบโตมากับผู้หญิงทำให้ไม่ได้รู้สึกชอบหรืออยากมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกกับผู้มีเพศกำเนิดหญิง ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้หวังว่าแฟนในอนาคตของเขาจะต้องเป็นคริสเตียน และหากได้มีความสัมพันธ์แต่ต้องพบกับอุปสรรค เช่น ครอบครัวอีกฝ่ายไม่ยอมรับในตัวตนของเขา ธนวัตน์ก็พร้อมที่จะถอยเพื่อความสบายใจของตนเอง

ขณะที่อังเจลุสเชื่อว่า ถ้าพระเจ้าเตรียมคู่พระพรไว้ คนนั้นก็คงเข้ามาในชีวิตของเขาตามเวลาที่พระเจ้าเห็นสมควร ณ ตอนนี้ คู่ชีวิตที่ดีที่สุด ของอังเจลุส คือ ‘พระเจ้า’ ตามพระธรรมวิวรณ์ 19:7-9 หนังสือเล่มสุดท้ายในคัมภีร์ไบเบิล ที่รวบรวมคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลกตามความเชื่อศาสนาคริสต์ โดยมีการเปรียบเทียบที่สื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์ (พระเยซู) และ
คริสตจักร (ผู้เชื่อ) พร้อมกับความหวังในอนาคตที่ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันในความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคำเตือนให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์และเตรียมพร้อมสำหรับวันที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้ง

เมื่อมีความรักและความสัมพันธ์แล้ว ก้าวต่อไปของคู่รักหลายคู่คือ ‘การแต่งงาน’ ซึ่งปัจจุบันคู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสเพื่อรับสิทธิคู่สมรสตามกฎหมายได้แล้ว แต่คริสตจักรหลายแห่งในประเทศไทยมีจุดยืนในการ ‘ไม่จัดพิธีสมรสให้กับคู่รักเพศเดียวกัน’ ทำให้บางคนถูกตัดโอกาสในการทำ ‘พันธสัญญาระหว่างคู่สมรสและพระเจ้า’ ซึ่งเป็นพิธีการแสดงความรัก ความซื่อสัตย์ และการให้คำมั่นในการสนับสนุนกันระหว่างคู่สมรส

“สมมติว่า มีวันที่เราอยากแต่งงานจริง ๆ … ด้วยความที่ลุงของเราเป็นศิษยาภิบาล เราก็อยากลองไปคุยกับลุงดู แต่ถ้าลุงไม่สามารถจัดให้ได้ เราก็โอเค คือ อาจจะไม่จําเป็นจะต้องจัดงานแต่งที่โบสถ์ของเรา เราจะลองหาโบสถ์อื่นที่น่าจะเปิดกว้างมากกว่า และถ้าสุดท้ายไม่มีโบสถ์ไหนจัดงานแต่งให้เราได้เลย เราอาจหาทางออกร่วมกับแฟนของเราดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ธนวัตน์กล่าว

ธนวัตน์ในฐานะยังเป็นผู้เยาว์มองว่า ตนเองยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อถึงวันหนึ่งตนเองเติบโตขึ้นและพร้อมที่จะแต่งงาน วันนั้นจุดยืนของคริสตจักรในประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันนั้นมาถึงและตนไม่สามารถจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์ได้ ก็คงรู้สึกน้อยใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่ธนวัตน์ยังคงเชื่อว่า ‘ถ้าถึงเวลาที่พระเจ้าจะเปิดทาง วันนั้นก็คงมีสักโบสถ์ที่เปิดรับพวกเขา’

อาซาอิก็คิดเห็นตรงกันว่า ถ้าโบสถ์ที่เขาอยู่ไม่สามารถจัดงานแต่งให้ได้ เขาอาจจะเลือกหาโบสถ์ที่เปิดกว้าง หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือการเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิก เนื่องจากเห็นว่าพระสันตะปาปา ฟรานซิส ได้แถลงอนุญาตให้นักบวชนิกายโรมันคาทอลิกสามารถให้พรแก่คู่รักเพศเดียวกันได้แล้ว เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2566

ขณะที่อังเจลุสมองว่า โบสถ์เป็นพื้นที่ของหมู่คณะ แม้ตนเชื่อว่าพระเจ้าไม่ได้มีปัญหากับผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ถ้าสมาชิกในโบสถ์ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเขาก็พร้อมที่จะเคารพการตัดสินใจ ซึ่งแองเจลุสคาดว่าน่าจะมีโบสถ์คาทอลิกสักแห่งเปิดรับและพร้อมที่จะทำพิธีอวยพรให้

” ‘โบสถ์’ เป็นพื้นที่ของหมู่คณะ พระเจ้าไม่ได้มีปัญหากับการที่เราเป็น LGBTQIA+ แต่การจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากหมู่คณะของโบสถ์ เราเชื่อว่า หากใครเจอคู่ชีวิตที่ดีและดำเนินชีวิต
ที่ดี พระเจ้าย่อมอวยพร แม้ต้องเจอกับอุปสรรคที่ยังแต่งงานไม่ได้”

อังเจลุส

‘ศรัทธา’ ไม่ลดหาย แม้ ‘กาย’ จะถูกกดดัน

แม้ต้องเผชิญกับความกดดันจากคริสตจักร ผ่านสังคมที่ยังไม่เปิดกว้าง และหลักคำสอนที่กำหนดให้โลกนี้มีแค่เพศ ‘ชาย-หญิง’ เท่านั้น แต่ก็ยังมีผู้มีความหลากหลายทางเพศจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ และนับถือศาสนาคริสต์อยู่

ธนวัตน์ให้เหตุผลว่า เพราะตนเองเติบโตมาในครอบครัวคริสเตียน และได้มีประสบการณ์ชีวิตทั้งช่วงที่ดีและไม่ดี ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนสะท้อนถึงการมีอยู่ของพระเจ้า เขาได้เห็นอะไรหลายอย่างที่พระเจ้าทำให้กับครอบครัวของเขา นอกจากนั้น การเป็นคริสเตียนยังทำให้ธนวัตน์ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่รักและเอ็นดูเขา โดยสัมผัสได้ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมของคริสตจักรทุกสัปดาห์

“เรายังรู้สึกถึงความรักจากพระเจ้าอยู่ บางทีความรักพระเจ้าก็ไม่ได้มาหาเราโดยตรง ความรักอาจจะมาทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนหรือครอบครัว … เราใช้เวลาในการเปิดใจกับครอบครัวนานมาก และคงยังมีอีกหลายคนที่เป็น LGBTQIA+ แล้วครอบครัวเคร่งศาสนาจนไม่สามารถพูดออกมาได้แบบเรา” ธนวัตน์กล่าว

ทั้งนี้ หากวันหนึ่งมีคนในคริสตจักรแสดงออกว่า ‘รังเกียจ’ หรือไม่พอใจที่เขาเป็นเกย์ ธนวัตน์ก็คงเลือกที่จะปล่อยผ่านและอยู่ให้ห่างจากคนนั้นมากขึ้น เพราะตนรับรู้และคอยเตือนตัวเองเสมอว่า ‘เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้’

อังเจลุสก็ให้เหตุผลคล้ายกันว่า จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้เขาสัมผัสได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และมองว่าคำสอนหรือพิธีแต่งงานนั้นเป็นเพียงการตีความและมิติด้านศาสนศาสตร์ที่มนุษย์ตีความขึ้น ส่วนตัวเองจะพยายามขับเคลื่อนสังคมในคริสตจักรให้มีการเปิดรับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น และให้มีการจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์สักวันหนึ่ง

“การเชื่อพระเจ้า ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าต้องเป็น ‘คนตรงเพศ’
การเป็น LGBTQIA+ ก็เป็นคนเหมือนกัน … เราเชื่อว่า ‘รสนิยมทางเพศ’ ไม่ใช่ความบาป ตราบใดที่ยังไม่มีการบังคับขู่เข็ญ”

อังเจลุส

ด้านอาซาอิยังไม่มั่นใจว่าทำไมตนเองถึงยังเลือกที่จะเชื่อและเป็นคริสเตียนอยู่ ตอนนี้เขามองว่าสาเหตุที่เขาไปโบสถ์นั้น คือ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนในคริสตจักร เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความรักและความหวังดีของคนกลุ่มนี้อยู่เสมอ

“การไปกินข้าวหรือพบปะคริสเตียน ทำให้เรารู้สึกถึงความรักของพระเจ้า แม้ตอนนี้เราจะไม่มั่นใจว่า พระเจ้าจะยังรักเราอยู่ไหมถ้าเราเป็นเกย์ แต่เราก็รู้อยู่ลึก ๆ ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าก็คงรักเราแบบไม่มีเงื่อนไข” อาซาอิกล่าว

สุดท้ายนี้ อังเจลุสได้ยกหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เขาเชื่อและชื่นชอบ คือ 2 โครินธ์ 3:17 ว่า
“พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​พระ​วิญญาณ และ​พระ​วิญญาณ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​อยู่​ที่​ไหน
ความ​เป็น​อิสระก็​อยู่​ที่​นั่น”

เรื่องที่เกี่ยวข้อง