เรื่อง-ภาพ : โยษิตา สินบัว
หมายเหตุ :
- ‘คริสเตียน’ ในบทความนี้ หมายถึง ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestantism) ซึ่งไม่มีนักบวชเพราะเชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าถึงพระเจ้าผ่าน
การอ่านคัมภีร์ไบเบิล โดยมิต้องอาศัยบาทหลวงหรือสันตะปาปา แต่จะมีผู้ทำหน้าที่
สอนศาสนา คือ ‘ศิษยาภิบาล’ หรือเรียกว่า ‘อาจารย์’
- คัมภีร์ไบเบิลแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ‘พันธสัญญาเดิม’ เป็นชุดหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกถึงก่อนการประสูติของพระเยซู และ ‘พันธสัญญาใหม่’ เป็นชุดหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นภายหลังจากการประสูติพระเยซู การสิ้นพระชนม์ และการพยากรณ์วาระสุดท้ายของโลก
- ข้อพระคัมภีร์ที่ถูกอ้างในบทความนี้มาจาก THSV11: ฉบับมาตรฐาน โดยสมาคม
พระคริสตธรรมไทย
ปีที่ผ่านมา ‘ความหลากหลายทางเพศ’ เป็นประเด็นที่ถูกยกมาถกเถียงในสังคมคริสเตียนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 ภายใต้บริบท สังคมที่กำลังก้าวไปข้างหน้าและให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิมนุษยชน’ โดยมองว่าความรักของทุกคนบนโลก ไม่ควรถูกกีดกันด้วยอคติเรื่องเพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา และควรได้รับการปกป้องคุ้มครองทางกฎหมาย
ขณะเดียวกัน คริสตจักรและองค์กรคริสเตียนหลายแห่งยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนดั้งเดิมที่กำหนดให้ความรักและการสมรสจำกัดอยู่ระหว่าง ‘ชาย-หญิง’ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ ที่ไม่สามารถจัดพิธีสมรสในคริสตจักรหรือได้รับคำอวยพรจากศาสนาที่พวกเขานับถือได้ นอกจากนี้ ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นคริสเตียนบางคนยังคงเผชิญแรงกดดันจากชุมชนในคริสตจักร ผ่านการเสนอให้พวกเขาแสดงออกตรงตามเพศกำเนิดหรือปฏิเสธตัวตนของตนเอง
ในบทความนี้ นิสิตนักศึกษาจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจจุดยืนและแนวปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศของคริสตจักร พร้อมชวนทำความรู้จัก กลุ่มลำธารสีรุ้ง หรือชุมชนคริสเตียนที่เชื่อว่า ‘คุณสามารถเป็นคริสเตียนที่เชื่อในพระคัมภีร์ 100% และเป็น LGBTQIA+ ไปพร้อมกันได้’
สำรวจ 4 จุดยืน ‘คริสตจักร’ กับมุมมองที่มีต่อ LGBTQIA+
ปัจจุบัน คริสตจักรในประเทศไทยและอาจหมายรวมถึงคริสตจักรทั่วโลก กำลังอยู่ระหว่างการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปว่า การเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็น ‘ความบาป’ หรือไม่ คนกลุ่มนี้สามารถมีบทบาทในคริสตจักรได้มากแค่ไหน และการกระทำใดบ้างที่นับว่าเป็นความบาป
ข้อถกเถียงเหล่านี้ เกิดจากการตีความโดยการแปลความหมายคัมภีร์ไบเบิลที่ต่างกันในแต่ละยุคสมัย ซึ่งต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิล ‘พันธสัญญาเดิม’ ที่ถูกเขียนเป็นภาษาฮีบรู ประมาณ 1445-1405 ปีก่อนคริสตกาล และ ‘พันธสัญญาใหม่’ ที่ถูกเขียนเป็นภาษากรีกเมื่อประมาณ 2000 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีการพูดถึงพฤติกรรมที่ตีความได้ว่า การเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือ สิ่งที่ผิดจากที่พระเจ้าสร้าง และการมีเพศสัมพันธ์ในเพศเดียวกัน ‘เป็นบาป’ ดังนี้
ปฐมกาล 1:27 กับการกำหนดชัดเจนถึง ‘เพศ’ ของมนุษย์ว่ามีเพียง ‘ชาย-หญิง’ ว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”
ปฐมกาล 19 กล่าวถึง ‘ความเสื่อมทรามของโสโดม’ เมืองเก่าแก่ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่ผู้คนในเมืองมีพฤติกรรมชั่วร้าย เช่น การฆาตกรรม การลักขโมย การล่วงประเวณี การบูชารูปเคาร พฤติกรรมที่หยิ่งผยอง และการไม่ให้เกียรติต่อผู้มาเยือน หลังพระเจ้าส่งทูตสวรรค์สององค์ไปเมืองดังกล่าว และ โลท หลานชายของอับราฮัมได้ต้อนรับพวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่ผู้ชายทุกคนในเมืองต่างมาล้อมบ้านของโลทและเรียกร้องว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน? จงส่งพวกเขาออกมาให้เรา เราจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา” แม้โลทเสนอบุตรสาวพรหมจารีของเขาให้แทน แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิเสธ และนำมาสู่เหตุการณ์ที่พระเจ้าทำลายเมืองโสโดมนี้
พันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับข้อห้ามและบทลงโทษของพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันในหนังสือ เลวีนิติ 18:22 กล่าวว่า “ห้ามผู้ชายหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันเช่นเดียวกับหลับนอนกับผู้หญิง เป็นสิ่งพึงรังเกียจ”
และ เลวีนิติ 20:13 กล่าวว่า “ชายใดนอนกับผู้ชายเหมือนอย่างกับผู้หญิง ทั้งสองคนทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ ทั้งสองคนนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายแน่ ๆ ที่พวกเขาต้องตายนั้นพวกเขาเองเป็นผู้รับผิดชอบ”
ขณะที่ภาคพันธสัญญาใหม่ในหนังสือ 1 โครินธ์ 6:9 กล่าวถึงผู้มีพฤติกรรม ‘รักร่วมเพศ’ ว่า จะไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ คือ “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ”
ภาพ การสำรวจจุดยืนคริสตจักรที่มีต่อ LGBTQIA+
อาณัติ เป้าทอง นักศาสนศาสตร์ปกป้องความเชื่อคริสเตียน เผยแพร่บทความ ‘ข้อถกเถียงและจุดยืนของคริสตจักร เกี่ยวกับ LGBTQ+’ ผ่าน CHRISTLIKE เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ว่า สามารถแบ่งจุดยืนของคริสตจักรต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
‘Anti’ คือ กลุ่มคริสตจักรที่มีจุดยืนว่าการเป็น LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศ (Gender Expression) และการมีรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) ที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘เป็นบาป’ และไม่สนับสนุนให้บุคคลกลุ่มนี้มีบทบาทในคริสตจักร สามารถเป็นได้เพียงผู้ร่วมกิจกรรมเท่านั้น นอกจากนั้น คริสตจักรยังมีนโยบายหนุนใจให้กลับมาเป็นคนตรงเพศ (Straight) เพื่อให้คนกลุ่มนี้กลับใจและขึ้นสวรรค์ได้ โดยอ้างจากหนังสือ 1 โครินธ์ 6:9
กลุ่มที่สอง ‘Welcoming’ คือ กลุ่มคริสตจักรที่มีจุดยืนว่าการ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ แต่อาจเป็นสิ่งที่ผิดจากธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง เนื่องจากในหนังสือปฐมกาลซึ่งบันทึกเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้าได้กล่าวว่า พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีเพียงเพศชายและหญิง
นอกจากนั้น บางส่วนยังตีความว่า การเป็น LGBTQIA+ อาจเป็น ‘การทดสอบจากพระเจ้า’ ซึ่งเป็นการทดสอบความเชื่อเฉพาะบุคคล หรือบางคนอาจตีความว่าเป็น ‘ของประทานจากพระเจ้า’ คือ เป็นสิ่งที่ดีและมีลักษณะพิเศษเพื่อมาเสริมสร้างคริสตจักรในมุมใดมุมหนึ่ง ทั้งนี้ กลุ่ม Welcoming ไม่ได้สนับสนุนให้บุคคลกลุ่มนี้มีบทบาทในคริสตจักร หรืออาจมีได้แค่เพียงบทบาทเล็ก ๆ ไม่สามารถเป็นผู้นำหรือศิษยาภิบาลได้
กลุ่มที่สาม ‘Accepting’ เป็นกลุ่มที่มีแนวคิดคล้ายกลุ่มที่สอง คือ การ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ แต่อาจเป็นสิ่งที่ผิดจากธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง ต่างกันเพียงผู้มีความหลากหลายทางเพศในกลุ่มนี้ สามารถมีบทบาทในคริสตจักรทุกระดับ รวมถึงการเป็นศิษยาภิบาล
กลุ่มสุดท้าย ‘Affirming’ เป็นกลุ่มแนวคิดใหม่ที่มองว่า การ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ และเชื่อว่าสามารถมีเพศสัมพันธ์ทางร่างกายได้ ภายใต้เงื่อนไขของ ‘การแต่งงาน’ และความซื่อสัตย์ต่อคู่รักของตนเอง พร้อมอนุญาตให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถมีบทบาทในคริสตจักรทุกระดับอีกด้วย
แนวทางการ ‘สอน’ หรือ ‘ปฏิบัติ’ ต่อ LGBTQIA+ ของคริสตจักร
“ในฐานะคริสตจักร เราไม่สามารถปฏิเสธใครได้ เพราะด้วยความรักของพระเจ้า เรายินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาในคริสตจักร และไม่สามารถตัดสินได้ว่า คนนี้คนไม่ดี คนนี้ชั่ว คนนี้จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ในกรณีที่บางคนแสดงออกชัดเจนว่าเป็น LGBTQIA+ เราก็รับรู้และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเหมาะสม … ทั้งนี้ การเทศนาในชั้นเรียนพระคัมภีร์จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักความเชื่อและแนวปฏิบัติตามคำสอนที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก” ศาสวัตกล่าว
ชั้นเรียนพระคัมภีร์ (Bible Study)
ชั้นเรียนพระคัมภีร์ (Bible Study) คือ กิจกรรมที่คริสเตียนร่วมกันศึกษาเรียนรู้พระคำพระเจ้าหรือทำความเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิล โดยมีทั้งรูปแบบศึกษาผ่านการเทศนาโดยศิษยาภิบาลในวันอาทิตย์ หลังกิจกรรมนมัสการพระเจ้า และการศึกษาแบบกลุ่มย่อยตามวัฒนธรรมของแต่ละคริสตจักร
ภาพ ศาสวัต มูลสถาน
ศาสวัต มูลสถาน ศิษยาภิบาลประจำคริสตจักรที่สอง สามย่าน อายุ 48 ปี กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ดูแลสมาชิกในคริสตจักร และเป็นผู้เทศนาชั้นเรียนพระคัมภีร์ในบางสัปดาห์ เขาให้ความสำคัญกับการยึดหลักการของคัมภีร์ไบเบิลเป็นอันดับแรก คือ การอธิบายถึงหลักความเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีสองเพศเป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ซึ่งไม่ได้มีเจตนามุ่งตัดสินหรือตำหนิกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ อิทธิกร เด่นกิตติคุณ อายุ 34 ปี หัวหน้าทีมพันธกิจนักศึกษามหาวิทยาลัยในกรุงเทพ สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.) ผู้ทำงานกับกลุ่มนักศึกษาคริสเตียนหลายมหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้สังคมจะเริ่มมีการให้คำนิยามเกี่ยวกับ ‘เพศ’ มากขึ้น แต่ตัวเขาไม่ได้คิดว่าต้องยอมรับสิ่งที่สังคมหรือวัฒนธรรมบอกว่า ‘ดี’ ว่าเป็นสิ่งที่ ‘ถูกต้อง’ เพราะตามแนวคิด ‘สัมพัทธนิยม (Relativism)’ ซึ่งเชื่อว่าไม่มีความจริงใดตายตัว และความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ ดังนั้น หากมีกลุ่มบุคคลใดต้องยืนยันว่าอะไรบางอย่างเป็นความจริง คนกลุ่มนั้นก็ย่อมดูเหมือนพวกที่ต้องการได้รับอำนาจเหนือบุคคลอื่น
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.) คือ กลุ่มคริสเตียนที่ทำงานกับนักศึกษาที่เป็นคริสเตียนเป็นหลัก โดยมีลักษณะในการสร้างผู้นำคริสเตียน และเชื่อมั่นในการริเริ่มของนักศึกษาในการตอบสนองต่อสิ่งที่พระคัมภีร์สอน โดยที่ไม่ได้จำกัดนิกายหรือสังกัดคริสตจักร ผ่านการทำกิจกรรมกลุ่มคริสเตียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมี ‘พี่เลี้ยง’ จาก นคท. เข้ามาช่วยดูแล พูดคุย แลกเปลี่ยน และเสริมสร้างการเป็นสาวกของพระเยซูที่ยึดมั่นในการใช้ชีวิตตามพระคัมภีร์ให้กับนักศึกษาคริสเตียนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ที่มา : สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย
“แนวคิดสัมพัทธนิยม ทำให้หลายคนเข้าใจว่าคริสเตียนพยายามอ้างคำสอนและการเทศนาตามแนวทางของพระคัมภีร์ เพื่อใช้มุมมองเพศ ‘ชาย-หญิง’ มากดทับผู้คนที่เชื่อว่าความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง และสวยงาม แต่ขณะเดียวกัน หากอ้างอิงตามแนวคิดที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความจริงอย่างแท้จริง’ แล้วทำไมหลายคนจึงเป็นเดือดเป็นร้อนกับการที่คริสตจักรและคริสเตียนสอนว่า พระเจ้าทรงสร้างเพศมาเพียงแค่ 2 เพศ คือ ‘ชาย-หญิง’ ดังนั้น แม้โลกจะมีการเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น แต่คริสตจักรจะยังคงสอนและเทศนาเรื่องเพศตามหลักการในพระคัมภีร์อย่างแน่นอน” อิทธิกรกล่าว
แนวคิดสัมพัทธนิยม (Relativism)
สัมพัทธนิยม (Relativism) หมายถึง แนวคิดที่เชื่อว่าไม่มีความจริงแบบตายตัว ความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบความคิดความเชื่อ และโลกทัศน์ของคนแต่ละกลุ่ม ในทางมานุษยวิทยาอธิบายว่าสัมพัทธนิยมคือระเบียบวิธีที่นักมานุษยวิทยาใช้พิจารณาเพื่อทำงานภาคสนามในชุนชนของมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมต่างไปจากตะวันตก ซึ่งนักมานุษยวิทยาจะต้องไม่นำเอาความคิดแบบตะวันตกไปตัดสินคุณค่าทางวัฒนธรรมของคนอื่น และต้องศึกษาความคิดของคนอื่นในฐานะที่เป็นเงื่อนไขทางสังคมที่มีลักษณะเฉพาะ
ที่มา : ฐานข้อมูลคำศัพท์ทางมานุษยวิทยา
ภาพ อิทธิกร เด่นกิตติคุณ จาก Thai Christian Students (TCS)
ทั้งนี้ นคท. มีหน้าที่ในการสนับสนุน ให้กำลังใจ และแนะนำการใช้ชีวิตของนักศึกษาให้ดำเนินชีวิตตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล โดยไม่ได้แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ ภาษา หรือสีผิว ในการดูแลคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน อิทธิกรเข้าใจดีว่า หลายครั้งคนเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและมีความท้าทายในการปฏิบัติตามคำสอนในพระคัมภีร์ ซึ่งภายใต้ความท้าทายเหล่านั้น นคท. จะไม่ใช้วิธีบังคับหรือกดดันทางคำพูด แม้แต่คำพูดที่ดูเหมือนหวังดีแต่แฝงไปด้วยความต้องการควบคุมหรือทำให้รู้สึกผิด (Passive Agressive) ก็ตาม เพราะอิทธิกรเชื่อว่า การใช้ชีวิตคริสเตียนเป็น ‘ทางเลือก’ ของทุกคน ตามที่พระเจ้าให้ ‘เจตจำนงเสรี (Free Will)’ กับมนุษย์ทุกคนในการเลือกที่จะใช้ชีวิตและรับผิดชอบต่อผลการกระทำของตัวเอง
ดังนั้น หากมีผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ามาพูดคุยและขอคำปรึกษากับ ‘พี่เลี้ยง’ ที่ดูแลกลุ่มนักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัย แน่นอนว่า พี่เลี้ยงจะพูดตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างตรงไปตรงมา คือ พระเจ้าสร้างให้มนุษย์เป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ เท่านั้น รวมถึงมุมมองในการแต่งงานก็ได้มีระบุไว้ว่า
“พระองค์ตรัสตอบว่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมนั้น ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ‘เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็น
เนื้อเดียวกัน’ ด้วยเหตุนี้เขาทั้งสองจึงไม่เป็นสองต่อไป
แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน … ”
มัทธิว 19:4-6
อย่างไรก็ตาม ศาสวัตเสนอว่า คริสตจักรจำเป็นต้องเตรียมแนวทางในการดูแลและทำความเข้าใจกับคนกลุ่มนี้โดยไม่ตัดสิน โดยเฉพาะศิษยาภิบาลที่ต้องกล้าเปิดใจคุยกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ และทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะเข้ามาคุยด้วย พร้อมการไม่แสดงท่าทีรังเกียจ ซึ่งการเข้าใจภูมิหลังของคนกลุ่มนี้จะทำให้ศิษยาภิบาลมีข้อมูลสำหรับการหาแนวทางในการดูแลและปกป้องพวกเขาจากการถูกตั้งคำถามโดยคนในคริสตจักร และจากประสบการณ์ของศาสวัตก็เคยมีผู้เชื่อในคริสตจักรมาเปิดเผยด้วยตนเองว่าเป็น LGBTQIA+ ซึ่งศาสวัตก็รับรู้และให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
“เผื่อวันหนึ่ง คนในคริสตจักรมาถามอาจารย์ว่า ‘คนนี้เขาเป็นเกย์หรือเปล่า ?’ หากเรามีข้อมูล
เราก็สามารถอธิบายให้คนนั้นฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน และเพื่อปกป้องผู้มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ด้วย … แต่ศิษยาบาลก็ต้องเก็บเรื่องของพวกเขาเป็นความลับด้วยนะ ไม่ใช่ไปประกาศโฆษณาให้ทั้งที่เจ้าตัวไม่ยินยอม” ศาสวัตกล่าวถึงแนวทางการดูแลผู้เชื่อในพระเจ้า
รู้จัก ‘ลำธารสีรุ้ง’ ชุมชนคริสเตียนที่พร้อมโอบอุ้มคนทุกเพศ
ในปี 2565 ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต สส. พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นคริสเตียนได้โหวตสวนมติพรรคก้าวไกลที่จะรับรองกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับ ‘จุดยืน’ ของคริสเตียนที่มีต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ และเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนคริสเตียนกลุ่มใหม่ชื่อ ‘ลำธารสีรุ้ง’ ซึ่งยึดแนวทาง ‘Affirming’ โดยเชื่อว่าการเป็น LGBTQIA+ หรือการแสดงออกทางเพศที่แตกต่างจากเพศกำเนิดนั้น ‘ไม่บาป’ และมองว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หากอยู่ในกรอบของการแต่งงานและความซื่อสัตย์ต่อคู่รัก
ภาพ ฤกษ์สิน เขมสุนทร
ฤกษ์สิน เขมสุนทร สมาชิกกลุ่มลำธารสีรุ้ง วัย 37 ปี กล่าวว่า ลำธารสีรุ้งเป็นชุมชนเล็ก ๆ ของผู้เชื่อศาสนาคริสต์ ไม่จำกัดนิกาย ไม่สังกัดโบสถ์ และทุกคนสามารถเข้าร่วมกลุ่มได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็น LGBTQIA+ ผ่าน LINE OpenChat ซึ่งฤกษ์สินเป็นหนึ่งในทีมผู้นำ มีหน้าที่อภิบาลและช่วยให้คําปรึกษาสมาชิกในกลุ่ม รวมถึงการจัดกิจกรรมและระดมความคิดในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มด้วย
‘ลำธารสีรุ้ง’ ริเริ่มโดย ซัน-สิทธวีร์ ธีรกุลชน เขาเป็น ‘สเตรท’ ที่เกิดในครอบครัวคริสเตียน และเคยเชื่อว่า LGBTQIA+ เป็นความบาปที่ต้องสารภาพบาปและกลับใจ
“ซันมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคริสเตียนที่เป็น ‘เกย์’ และใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยพร้อมรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งขัน เพื่อนของซันเป็นคนที่รักพระเจ้ามาก แต่ด้วยบริบทความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) และจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง สุดท้ายเพื่อนของซันได้จบชีวิตลงด้วย ‘การฆ่าตัวตาย’ ” ฤกษ์สินเล่าถึงประสบการณ์ของสิทธวีร์ ผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มลำธารสีรุ้ง
รับใช้ คืออะไร?
‘รับใช้’ ในบริบทของคริสเตียน หมายถึง การดำเนินชีวิตหรือการกระทำที่แสดงถึงการอุทิศตนเพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น โดยยึดหลักความรัก ความเมตตา และความเสียสละตามคำสอนในพระคัมภีร์ การรับใช้ถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิตคริสเตียนที่สะท้อนถึงความเชื่อและการตอบสนองต่อความรักของพระเจ้า
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้สิทธวีร์เกิดความสับสนในความเชื่อของตนเอง เขาจึงเริ่มศึกษาการตีความคัมภีร์ไบเบิลกับเรื่องความหลากหลายทางเพศ จนสุดท้ายได้มาพบกับ ‘ศาสนศาสตร์แห่งการรับรอง (Affirming Theology)’ ซึ่งตีความว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ความผิดบาป แต่เกิดจาก ‘การแปลความหมายที่ผิด’ และนำมาสู่การตีความเพื่อกีดกันกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
“LGBTQIA+ หลายคนมักถูกกีดกันไม่ให้รับใช้ในบางบทบาทของคริสตจักร เช่น ไม่ให้เล่นดนตรีในทีมนมัสการ ไม่สามารถเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลผู้เชื่อคนอื่น บางคนจบการศึกษาในหลักสูตรศาสนศาสตร์แล้วก็ไม่สามารถขึ้นเทศนาหรือเป็นศิษยาภิบาลได้ บางโบสถ์ก็อธิษฐานวางมือขับผีหรือวิญญาณชั่ว เพราะเชื่อว่ามีวิญญาณ ‘ล่อลวง’ ให้คนนี้เป็น LGBTQIA+ ออกไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้บางคนเกิดความรู้สึกว่า ‘พระเจ้าไม่รักเขา’ และไม่กล้าเข้าหาพระเจ้าอีก” ฤกษ์สินเล่าประสบการณ์ของ LGBTQIA+ บางคนที่ถูกกีดกันจากคริสตจักร
ทั้งนี้ ฤกษ์สินกล่าวว่า เนื่องจากลำธารสีรุ้งต้อนรับทุกคนเข้ามาใน LINE OpenChat โดยไม่จำเป็นต้องเป็น LGBTQIA+ แต่ก็ได้สร้างห้องแยกเพื่อสงวนพื้นที่ให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะ รวมถึงแชทย่อยสำหรับผู้ต้องการคำปรึกษาด้านศาสนศาสตร์ ซึ่งภายในกลุ่มจะมีผู้ที่ศึกษาด้านศาสนศาสตร์อยู่ และหากใครต้องการคำปรึกษาส่วนตัวก็สามารถแจ้งภายในกลุ่มได้เช่นกัน
คัมภีร์ไบเบิลฉบับ 1946 : แปลผิด วัฒนธรรมเปลี่ยน จริงหรือ?
ภาพ การฉายภาพยนตร์สารคดี 1946 เมื่อ 31 ต.ค. 2567
‘การแปลความหมายที่ผิด’ ที่ฤกษ์สินกล่าวถึงนั้น อ้างอิงจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง 1946: The Mistranslation That Shifted Culture โดย ชารอน โรจจ์จิโอ (Sharon Roggio) ที่นำเสนอเรื่องราวของนักวิจัยผู้สืบค้นต้นตอของขบวนการต่อต้าน LGBTQIA+ ในหมู่คริสเตียน และพบว่าจุดเริ่มต้นในการใช้คำว่า ‘รักร่วมเพศ (Homosexual)’ มาจากการแปลภาษากรีก 2 คำ คือ ‘malakoi’ กับ ‘arsenokoitai’ ใน 1 โครินธ์ 6:9 มาตีความรวมกันซึ่งปรากฏครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1946
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ
พวกผิดผัวผิดเมีย ‘พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ (oute malakoi oute arsenokoitai)’ ”
1 โครินธ์ 6:9
ภาพยนตร์สารคดี 1946 ชี้ว่า ‘malakoi’ ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้หมายถึงผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงหรือโสเภณีชาย แต่สื่อถึงผู้ที่ขาดการควบคุมตนเอง ส่วน ‘arsenokoitai’ ก็ไม่ควรถูกแปลตรงตัวว่า ‘พวกรักร่วมเพศ’ เพราะเป็นคำที่สะท้อนบริบทของยุคโรมันซึ่งมีการกดขี่ทางเพศระหว่างชายที่สถานะไม่เท่ากัน คำนี้จึงน่าจะมีความหมายเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์หรือความสัมพันธ์ที่เห็นแก่ตัวมากกว่า
อธิบายคำศัพท์ ‘malakoi’ และ ‘arsenokoitai’ เพิ่มเติม
- ‘malakoi’ เป็นคำพหูพจน์ของ ‘malakos’ แปลตรงตัวว่า ‘อ่อนนุ่ม’ แต่บางครั้งก็ถูกใช้เพื่อดูถูกผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงแต่
- จอห์น บอสเวลล์ (John Boswell) นักประวัติศาสตร์มองว่า หากนำคำนี้มาเชื่อมโยงกับศีลธรรม แปลว่า คนที่มีศีลธรรมอ่อนแอ หละหลวม โดยไม่มีนัยทางเพศ
- โรบิน สคร็อกก์ส (Robin Scroggs) นักศาสนศาสตร์มองว่า คำนี้หมายถึงเด็กชายที่ขายบริการทางเพศให้กับผู้ชาย ซึ่งพบได้ทั่วไปในกรีกสมัยนั้น
- ‘arsenokoitai’ มาจากรากศัพท์สองคำ คือ ‘arseno (ผู้ชาย)’ และ ‘koitai (เตียงนอน)’ ซึ่ง arsenokoitai เป็นคำที่เปาโล ผู้เขียน 1 โครินธ์ 6:9 สร้างขึ้น จึงไม่ค่อยพบในงานเขียนอื่น ๆ ของกรีก
- จอห์น บอสเวลล์ ให้ความเห็นว่า คำนี้อาจแปลว่า ‘ชายขายบริการ’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ขายบริการให้คนเพศเดียวกันเท่านั้น
- โรบิน สคร็อกก์ส ให้ความเห็นว่า คำนี้แปลมาจากภาษาฮีบรูคำว่า ‘mishkav zakur’ ในหนังสือเลวีนิติ แปลว่า ‘นอนกับผู้ชาย’ จึงมีแต่ชาวยิวที่พูดภาษากรีกที่ใช้คำนี้
- ด้วยบริบททางวัฒนธรรมกรีกโบราณ ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ชาย-ชาย’ เป็นความสัมพันธ์ปกติ โดยชายอายุ 20-40 ปี มักเลี้ยงดูชายวัยรุ่น 12-18 ปี
- แต่ในจักรวรรดิโรมันศตวรรษที่ 1 (ยุคสมัยที่เปาโลอยู่) ได้เกิดความเสื่อมถอยทางศีลธรรม คือ ผู้ชายหมกมุ่นในเรื่องเพศและซื้อบริการทางเพศมากขึ้น บางคนข่มขืนกักกันทาสของตน ดังนั้น จึงอาจตีความได้ว่าเปาโลหมายถึงผู้ชายกดขี่ทางเพศกับผู้ชายอีกคนที่สถานะทางสังคมไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะทางกำลัง เศรษฐกิจ เช่น ทาส โสเภณีชาย และถือว่าเป็นความผิดบาป
ที่มา : รักเพศเดียวกันบาปจริงหรือ : มองพระคัมภีร์ด้วยแนวคิดใหม่
จากที่กล่าวข้างต้นว่า คัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาในยุคโบราณ ส่วนใหญ่เป็นภาษาฮีบรู ส่วนพันธสัญญาใหม่เขียนขึ้นเป็นภาษากรีกโบราณที่ไม่ถูกใช้ในปัจจุบันแล้ว ทำให้ไบเบิลถูกแปลขึ้นใหม่หลายภาษา ผู้อ่านจึงจำเป็นต้องเข้าใจบริบทของสังคมและวัฒนธรรมที่ถูกเขียนขึ้น ณ เวลานั้น เพื่อให้เข้าใจคำสอนของพระเยซูและเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง
“ภาพยนตร์สารคดี 1946 เป็นเพียงการตีความพระคัมภีร์เข้าข้างความต้องการของกลุ่มผู้จัดทำ โดยให้ความเห็นที่ไม่เป็นไปตามแนวทางการตีความพระคัมภีร์ (Hermeneutics) และพยายามบิดเบือนความตั้งใจของผู้เขียน (เปาโล) และความเข้าใจของผู้ฟังกลุ่มแรก (คริสเตียนสมัยกรีกโบราณ)” อิทธิกรกล่าว
อิทธิกรให้ความเห็นต่อการตีความคำว่า ‘malakoi’ กับ ‘arsenokoitai’ ของภาพยนตร์สารคดี 1946 ว่าเป็นการอธิบายศัพท์ผ่านการวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างและความอยุติธรรมของสังคมในสมัยนั้น โดยใช้มุมมองของคนในยุคปัจจุบันที่มีหลักคิดตามทฤษฎีวิพากษ์ทางเชื้อชาติ (Crititcal race theory) ที่ว่า ‘สังคมย่อมมีผู้ถูกกดขี่อยู่เสมอ’ ไปตัดสินงานเขียนในอดีต และอาจทำให้สาสน์ที่เปาโลต่อการสื่อผิดเพี้ยนไป
ทั้งนี้ อิทธิกรมองว่า ‘arsenokoitai’ ที่เปาโลหยิบมาใช้เป็นคนแรกนั้น มาจากการแปลภาษาฮีบรูใน เลวีนิติ 20:13 ว่า “ชายใดนอนกับผู้ชายเหมือนอย่างกับผู้หญิง (mishkav zakur) ทั้งสองคนทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ …” แต่คณะผู้จัดทำภาพยนตร์ก็ได้พยายามนำเสนอว่า หลายข้อบังคับในเลวีนิติไม่ได้ถูกหยิบมาใช้แล้ว เพราะพระเยซูได้มาเติมเต็มคำสอนในพันธสัญญาเดิมแล้วให้ยึดคำสอนในพันธสัญญาใหม่เป็นหลัก ซึ่งความคิดดังกล่าวอาจทำให้ไม่สามารถอธิบายอีกหลายสิ่งที่พระเยซูสอนได้เลย
นอกจากนั้น คริสเตียนจะทราบกันดีว่า พระเยซูมาเติมเต็มพันธสัญญาเก่าเกี่ยวกับการไถ่บาป แต่พระเยซูไม่ได้ลบล้างหลักการทางศีลธรรม เพราะคริสเตียนยังคงเชื่อและทำหลักการทางศีลธรรมตามบัญญัติ 10 ประการในพันธสัญญาเก่าอยู่ดี
การไถ่บาป
ในพันธสัญญาเดิม การไถ่บาปต้องผ่านพิธีกรรมและเครื่องบูชาเพื่อชำระบาป เช่น แกะ ลูกวัว หรือแพะ ตามที่ระบุไว้ในพระธรรมเลวีนิติ เพื่อเป็นตัวแทนรับโทษบาปแทนมนุษย์ แต่พระเยซูมาเติมเต็มพันธสัญญาเดิมด้วยการเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์เพียงครั้งเดียว โดยการเสียชีวิตบนไม้กางเขน และเปิดทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยและความรอดอย่างถาวรผ่านความเชื่อในพระองค์
“ดังนั้น ผมขอให้ความเห็นว่า สารคดี 1946 ที่พยายามให้หลักฐานและ
ข้อโต้แย้งว่า พระคัมภีร์มีการแปลผิดและไม่ได้มีการพูดถึงรักร่วมเพศในเชิงความบาปนั้น เป็นการมองพระคัมภีร์ที่มีมุมมองไม่ตรงตามบริบทของคนในยุคพระคัมภีร์และตีความผิดพลาด”
อิทธิกร
ทั้งนี้ อิทธิกรอธิบายต่อว่า ที่ผ่านมานักศาสนศาสตร์ได้ศึกษา แปลความหมาย และตีความคัมภีร์ไบเบิลจากต้นฉบับ พร้อมการคำนึงถึงบริบทสังคมในยุคสมัยมาตลอด ดังนั้น กลุ่มผู้จัดทำภาพยนตร์สารคดี 1946 จึงไม่ใช่คนกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่แปลและตีความออกมาในเชิงปัญหาทางโครงสร้างของสังคม
พระเจ้าเป็นผู้สร้าง LGBTQIA+ เพื่องานบางอย่างในคริสตจักร?
นอกจากข้อถกเถียงเกี่ยวกับการตีความและแปลความหมายจากต้นฉบับในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากมายที่มีมุมมองต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อว่าพวกเขาคือคนที่พระเจ้าสร้างขึ้นให้มีลักษณะพิเศษเพื่อรับใช้งานบางอย่างของคริสตจักร เส้นของความบาปในการเป็น LGBTQIA+ คือ สามารถแสดงออกทางเพศได้แต่มีความสัมพันธ์ไม่ได้ รวมถึงการตั้งคำถามว่า “ทำไมบาปของการเป็น LGBTQIA+ ถึงเป็นบาปหนักกว่าการกระทำอื่น?”
“อาจจะดูเหมือนตีความเข้าข้างตัวเองไปหน่อย เหมือนเป็นการตีความจากข้อพระคัมภีร์หลายข้อแล้วเอามารวมกันให้รู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ผิด’ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ต้องระมัดระวังในการศึกษาพระคัมภีร์ ในประเด็นการสร้างของพระเจ้านั้น อาจารย์ขอยืนยันตามเดิมว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ” ศาสวัตให้ความเห็นต่อกรณีการตีความว่า LGBTQIA+ คือสิ่งที่พระเจ้าสร้าง
ศาสวัตกล่าวว่า การเป็น LGBTQIA+ นั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยศาสวัตได้แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ หนึ่ง เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อย่างบางคนเป็นผู้ชายแต่มีฮอร์โมนเพศชายน้อย ก็อาจส่งผลให้ร่างกายมีลักษณะของความเป็นเพศชายไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก เช่น เสียงเล็ก ไหล่แคบ หรือคนที่เกิดมาเป็นอินเตอร์เซ็กส์ (Intersex)
สอง ปัจจัยจากการเลี้ยงดูในครอบครัวหรือประสบการณ์วัยเด็ก เช่น การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน หรือเคยเผชิญกับการล่วงละเมิดในครอบครัว อาจส่งผลต่อความรู้สึกและจิตใจที่ ‘เบี่ยงเบน’ ไปในบางด้าน สุดท้ายคือกลุ่มคนที่ ‘ตั้งใจเป็น’ หรือเลือกที่จะเป็นด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายสำหรับคริสตจักรในการทำความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้มากขึ้น พร้อมทั้งยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็นในด้านการแสดงออกทางเพศเหล่านี้
สอดคล้องกับอิทธิกรที่มองว่า พระเจ้าได้สร้างมนุษย์เป็น ‘ชาย-หญิง’ กระทั่งในหนังสือปฐมกาล 3 กล่าวว่าความบาปเข้ามาในโลก ซึ่งคริสเตียนเชื่อว่า ‘ความสับสน’ ในตัวตนเรื่องเพศ รวมถึงบาปอื่น ๆ บนโลกก็ล้วนเกิดจากการล้มลงในบาปของมนุษย์ ส่วนความรู้สึกที่มนุษย์หนึ่งคนมีต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนตรงเพศหรือ LGBTQIA+ นั้น ก็นับเป็นการทดลองทางเนื้อหนังด้วยกันทั้งสิ้น
ความสัมพันธ์ของ LGBTQIA+ เป็น ‘ความรัก’ หรือ ‘ความบาป’
“โบสถ์ไม่ได้ไม่ยอมรับคนกลุ่มนี้ในด้านการแสดงออกทางเพศ เช่น
บุคลิก การแต่งกาย แต่สิ่งที่คริสตจักรยอมรับไม่ได้ คือ ‘ความประพฤติผิดทางเพศ’ หรือการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน … และในความเป็นจริงคริสตจักรก็ไม่ได้รังเกียจหรือตั้งเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมนมัสการและกิจกรรมอื่น ๆ หากคริสตจักรทําแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากการผลักให้คนออกไปจากศาสนา ซึ่งคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก”
ศาสวัต
ศาสวัตในฐานะศิษยาภิบาลกล่าวถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคริสตจักรและผู้มีความหลากหลายทางเพศ
แม้การเป็น LGBTQIA+ จะไม่บาปจนกว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่นั่นก็อาจหมายถึงผู้ที่อยู่ในกลุ่มหลากหลายทางเพศนี้ ไม่ควรมีความรู้สึก ‘รัก’ ใครในเชิงชู้สาวหรือหมดโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก แม้แต่การมี ‘เพศสัมพันธ์’ ก็ไม่อาจทำได้ เพราะตามหลักความเชื่อคริสเตียนนั้น มนุษย์จะมีเพศสัมพันธ์ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการแต่งงานแล้ว ซึ่งขัดกับคริสตจักรหลายแห่งที่ไม่อนุญาตให้บุคคลเหล่านี้จัดพิธีสมรสในโบสถ์
“LGBTQIA+ บางคนก็พยายามต่อสู้ พยายามเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้จริง ๆ พวกเขาก็อยากมีคู่ มีความรัก มีความต้องการทางเพศ จะให้โสดตลอดชีวิตแล้วแอบทำบาปหรือ เพราะในไบเบิลก็บอกว่า เป็นการดีถ้าชาย-หญิงจะไม่มีเพศสัมพันธ์กัน แต่หากเร่าร้อนไปด้วยราคะตัณหาก็จงไปแต่งงานดีกว่าที่จะไปทำบาปเรื่องเพศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทางออกของชาย-หญิง แล้วคนที่เป็น LGBTQIA+ เขาจะมีทางออกอย่างไร เขาไม่สามารถมีคนรักหรือหากมีคู่ก็ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลยหรอ” ฤกษ์สินกล่าว
ฤกษ์สินบอกว่า ตนเองเข้าใจกลุ่มคนที่มีจุดยืนว่า ‘การมีความสัมพันธ์ทางเพศ’ ของ LGBTQIA+ เป็นบาป แต่ตนก็อยากสะท้อนอีกมุมให้คนเหล่านี้ได้ขบคิด หรือหากมองว่านี่คือเรื่องของผู้มีความหลากหลายทางเพศและต้องต่อสู้ด้วยตนเอง ฤกษ์สินคิดว่าเป็น ‘ความใจแคบ’ และตนเชื่อว่าพระเจ้าที่เขาเชื่อไม่ได้มองแคบขนาดนั้น
“คนที่บอกให้ LGBTQIA+ ต่อสู้กับความบาปด้วยตนเอง ก็ไม่ได้มาเป็น LGBTQIA+ เองด้วยซ้ำ เขาไม่ได้เข้าใจหรอกว่า LGBTQIA+ ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ผมว่าการตีความแบบนี้ไม่ได้ส่งเสริมให้เราทำบาป เพราะเราก็รู้ว่าการล่วงประเวณี ติดเซ็กส์ มีชู้ เป็นบาป แต่ผมว่าถ้าเกิด LGBTQIA+ มีคู่ มีความรักที่สัตย์ซื่อ พวกเขาไม่ได้บาป” ฤกษ์สินกล่าว
มนุษย์ทุกคนเป็น ‘คนบาป’ บาปทุกชนิดให้ผลเท่ากัน แต่ทำไม LGBTQIA+ ถึงดูเหมือนเป็นบาปใหญ่
หนังสือยอห์น 8:1-11 ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ธรรมาจารย์และพวกฟาริสี (ผู้นำศาสนาชาวยิว) พาผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับฐานล่วงประเวณีและให้ยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน เพื่อให้ถูกขว้างหินจนตายตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม พวกเขาถามพระเยซูว่าควรทำตามบัญญัติที่เขียนไว้โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระเยซู แต่พระเยซูได้ตอบกลับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”
จากยอห์น 8:1-11 สะท้อนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครกล้าหยิบก้อนหินมาปาใส่หญิงคนนั้น แม้แต่พระเยซูที่เป็นผู้บริสุทธิ์ก็ยังไม่เอาโทษนาง เพียงแค่บอกว่า “ต่อจากนี้อย่าทำบาปอีก”
หนังสือมัทธิว 5:21-28 พระเยซูได้บอกว่า ‘การฆ่าคน’ และ ‘ความรู้สึกโกรธ’ ต่างเป็นความบาปทั้งคู่ แม้ว่าทั้งสองอย่างจะเป็นความผิดบาปในสายตาของพระเจ้า แต่ความผิดบาปอย่างหนึ่งอาจเลวร้ายกว่าอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อพูดถึงผลที่ติดตามมาชั่วนิรันดร์และความรอด ความบาปทุกอย่างเท่าเทียมกันหมด คือ ทุกความบาปจะนำไปถึงการพิพากษานิรันดร์
ซึ่งข้อพระคัมภีร์จากหนังสือสองตอนนี้ มักถูกนำมาเป็นข้อโต้แย้งระหว่างคริสตจักรและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ คือ สุดท้ายคนทุกคนก็เป็นคนบาปและทุกบาปส่งผลเหมือนกันคือจะถูกพิพากษาในวันสุดท้าย แล้วทำไมคริสตจักรจึงต้องพร่ำบอกว่า LGBTQIA+ เป็นบาปหนักและต้องปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อให้ได้เข้าแผ่นดินของพระเจ้า
ศาสวัตมองว่า การเชื่อว่าทุกคนมีความบาปนั้นถูกต้อง แต่หากเราดำเนินชีวิตต่อไปทั้งที่รู้ว่าเป็นบาปก็ไม่ต่างจากการเอาช่องว่างระหว่างถ้อยคำไม่กี่คำในหนังสือเล่มใหญ่มาบอกว่า “ฉันเป็นคนบาป แต่คนอื่นก็บาปเหมือนฉัน เพราะฉะนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร” ซึ่งศาสวัตคิดว่านี่คือการนำ ‘ความรัก’ ของพระเจ้ามาสนับสนุนตัวเองในทางที่ไม่ถูกต้อง
ขณะที่ฤกษ์สินเข้าใจว่า สิ่งที่คริสตจักรบางแห่งทำนี้เป็น ‘ความหวังดี’ คือ พวกเขาอาจจะเป็นห่วงว่า LGBTQIA+ จะตกนรกและไม่ได้ขึ้นสวรรค์ตามที่เขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 6:9 จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองและกลับใจ
“เขาคงมองว่า พระเจ้ารัก LGBTQIA+ เหมือนกัน แต่ LGBTQIA+ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเชื่อว่า ‘ความรัก’ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ เขาเลยอยากให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรามาก แล้วเราจะเปลี่ยนให้พระเจ้าได้ไหม เราจะได้ไม่ต้องตกนรก” ฤกษ์สินกล่าว
ขณะที่อิทธิกรให้ความเห็นว่า สาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่า LGBTQIA+ เป็นบาปที่ใหญ่และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันสังคมกำลังให้ความสนใจในประเด็นนี้และยังอยู่ระหว่างการถกเถียงในมุมมองที่หลากหลาย หากย้อนกลับไปในช่วง 100 ปีที่แล้ว อเมริกาก็มีประโยคที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักทุกคน แม้กระทั่งคนที่เป็นทาส ทุกคนมีบาป บาปเท่ากัน แต่ทำไมคนที่มีทาสในครอบครองถึงเป็นบาปที่ใหญ่”
อิทธิกรสะท้อนว่า หาก ‘ค่านิยม’ ของสังคมล้อไปตามพระคัมภีร์ คริสเตียนก็ย่อมเห็นด้วยและสนับสนุน แต่เมื่อบางค่านิยมของสังคมที่ไม่สอดคล้องกับหลักการในพระคัมภีร์ คริสเตียนก็ต้องทำตัวเหมือนปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำต่อไป
“เราเดาว่าในอนาคตประเด็น LGBTQIA+ จะจางลง และเราอาจต้องมานั่งคุยกันเรื่อง ‘หลายผัวหลายเมีย (Polygamy)’ และอาจมีประโยคเดียวกันว่า ‘พระเจ้ารักทุกคนแม้เขาจะมีภรรยาหรือสามีหลายคน ทุกคนมีบาป บาปเท่ากัน ทำไมการมีสามีภรรยาหลายคนจึงเป็นบาปที่ใหญ่กว่าบาปอื่น’ เมื่อประเด็นใดในสังคมกำลังเสียงดัง ถ้าสิ่งนั้นขัดต่อพระคัมภีร์ สิ่งนั้นก็จะเสียงดังใน
คริสตจักรตามเท่านั้นเอง” อิทธิกรกล่าว
จุดยืนของคริสตจักรหลัง ‘สมรสเท่าเทียม’ ถูกบังคับใช้
ขณะที่ข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งความบาปของการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศในชุมชนคริสเตียนยังคงดำเนินอยู่ ประเทศไทยได้ก้าวสู่ความเปิดกว้างทางเพศด้วย ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ที่เปิดทางให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิคู่สมรสตามกฎหมาย แต่สำหรับหลายคน นอกจากสิทธิตามกฎหมายแล้ว อีกหนึ่งความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือการถูก ‘อวยพร’ จากพระเจ้าที่เขาเชื่อหรือได้จัดงานแต่งงานใน ‘โบสถ์’ ตามที่พวกเขาใฝ่ฝัน
“ณ ตอนนี้ โบสถ์ยังไม่อนุญาตให้จัดพิธีสมรสให้คู่รักเพศเดียวกัน
แต่หากเขาอยากแต่งงานแล้วเลือกจัดสถานที่ข้างนอกก็เป็นสิทธิของเขา แต่ก็อาจจะไม่ได้ทําพิธีแต่งงานตามหลักศาสนา เนื่องจากไม่มีศาสนาจารย์หรือผู้ทําพิธีที่เป็นผู้รับใช้ไปทําพิธีให้”
ศาสวัตกล่าวถึงจุดยืนของคริสตจักรที่สอง สามย่าน
ทั้งนี้ ศาสวัตอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ที่โบสถ์ไม่ทำพิธีให้นั้นไม่ได้ต้องการกีดกัน แต่เนื่องจาก
คริสตจักรได้ยึดหลักความเชื่อตามคัมภีร์ไบเบิลที่อ้างถึงก่อนหน้านี้ หากต้องอะลุ่มอล่วยหนึ่งอย่าง ข้อกำหนดอื่น ๆ มันอาจต้องถูกอะลุ่มอล่วยตามไปด้วย ซึ่งหลังจากนี้ คริสตจักรอาจจะต้องเขียนคําแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรออกมาเพื่อยืนยันว่าหลักความเชื่อของตนเอง โดยยืนยันว่า “เราไม่ได้กีดกันคนที่จะเข้ามาโบสถ์ แต่เราแค่ไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์”
นอกจากนั้น อิทธิกรยังอธิบายถึงมุมมองของ ‘การแต่งงาน’ ตามหลักคัมภีร์ไบเบิลว่า การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของสามีและภรรยา เนื่องจากการแต่งงานถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนภาพที่ใหญ่กว่า คือ ‘พระเยซู-คริสตจักร’ ตามหนังสือ วิวรณ์ 19:7-9 กับคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลกตามความเชื่อศาสนาคริสต์ โดยเปรียบการแต่งงานกับความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์ (พระเยซู) และคริสตจักร (ผู้เชื่อ) พร้อมกับความหวังในอนาคตที่ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันในความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคำเตือนให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์และเตรียมพร้อมสำหรับวันที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้ง
“ส่วนตัวเราได้คุยกับพี่น้อง LGBTQIA+ หลายคนเห็นตรงกันว่า เราคงไม่เรียกร้องขนาดนั้น เพราะเข้าใจว่านี่เป็นจุดยืนของคริสตจักร และส่วนตัวก็คิดว่า เราไม่อยากให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเรามาประกอบพิธีให้ … เราอยากให้คนที่มาอวยพรเราเป็นคนที่เชื่อในความรักของเรา”
ฤกษ์สินกล่าว
จากประสบการณ์พูดคุยกับคนในชุมชนลำธารสีรุ้งและผู้มีความหลากหลายทางเพศอื่น ๆ ฤกษ์สินกล่าวว่า แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านก็คงมี LGBTQIA+ ส่วนน้อยที่จะแต่งในโบสถ์ เพราะก้าวแรกอย่างการถูกยอมรับในคริสตจักรยังเคลื่อนไหวลำบาก ขณะเดียวกัน ฤกษ์สินได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำคริสเตียนหลายคนซึ่งเขาก็กังวลกับสถานการณ์เหล่านี้เช่นกัน
“เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนที่เห็นต่างแล้วต้องเอาชนะให้ได้ เราเคารพในจุดยืนและการตัดสินใจของเขา เราจะไม่ไปกดดันให้คุณทำอะไรที่คุณไม่โอเค แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ออกมาเรียกร้องอยู่บ้าง” ฤกษ์สินกล่าว
ทั้งนี้ สิทธวีร์หรือผู้ก่อตั้งกลุ่มลำธารสีรุ้ง ก็เคยเป็นประธานในการประกอบพิธีสมรสให้คู่รัก ‘หญิง-หญิง’ และได้เผยแพร่ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจ ‘ลำธารสีรุ้ง RainbowStream’ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2567 ว่า หากหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้ แล้วมีคู่รัก LGBTQIA+ อยากจัดงานแต่งงานแบบคริสเตียน กลุ่มลำธารสีรุ้งยินดีให้บริการ
ภาพ ฤกษ์สิน เขมสุนทร (ซ้าย) และ ซัน-สิทธวีร์ ธีรกุลชน (ขวา)
ในพิธีแต่งงานเพศเดียวกันแบบคริสเตียน จาก ลำธารสีรุ้ง
พระเจ้า ‘รัก’ คุณ แม้โลกนี้จะมีคนที่ไม่เข้าใจหรือคนที่เกลียดชังคุณ
“อยากบอกอะไรกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ”
คือคำถามของนิสิตนักศึกษาในท้ายสุด
“Unpopular opinion นะครับ … อาจมีคริสเตียนบางคนบอกว่า การติดตามพระเยซู คือ ความเบา สบาย ไม่รู้สึกเหมือนถูกกดทับ กดดัน หรือเรียกร้อง เราสามารถมาหาพระเยซูอย่างที่เราเป็น ซึ่งก็เป็นความจริงในส่วนหนึ่ง แต่นั่นคือแอกทางศีลธรรมที่คริสเตียนไม่ต้องแบก (ความบาป) เพื่อไปถึงความรอด เพราะเราไม่สามารถมีชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ และมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้ ยังต้องต่อสู้กับราคะ ตัณหา และความอยากในชีวิต” อิทธิกรกล่าว
อิทธิกรได้ยกคำพูดของพระเยซูใน มาระโก 8:34-38 ที่บอกว่า ‘ถ้าใครอยากจะติดตามเรา คนนั้นต้องเลิกตามใจตัวเอง และแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเรามา …’ กล่าวคือ การเลือกที่จะเชื่อในศาสนาคริสต์นั้น อาจไม่ได้มีแต่ความสบายอย่างคริสเตียนหลายคนบอก เพราะเรายังต้องต่อสู้กับความต้องการด้านเนื้อหนัง เนื่องจากความเป็นมนุษย์ที่ไม่สามารถละสิ่งเหล่านี้ได้
ขณะเดียวกัน การเลือกเชื่อในคริสตศาสนาจะนำมาสู่ความรอดโดยความเชื่อ ซึ่งต้องปฏิเสธตัวเองและติดตามพระเยซู ไม่ละอายในข่าวประเสริฐและคำสอนของพระเยซู อิทธิกรกล่าวอีกว่า “พระเจ้ารักเราทุกคน พระคุณพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาไถ่เราจากความบาป เมื่อใดที่เราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า เราจะอยากปฏิเสธตัวเอง”
ข่าวประเสริฐคืออะไร
ข่าวประเสริฐ (Good News หรือ Gospel) คือ ถ้อยคำที่คริสเตียนใช้เพื่ออธิบายสาระสำคัญของความรอดและพระคุณของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ สาระสำคัญของข่าวประเสริฐคือการประกาศว่า
“พระเจ้าทรงรักมนุษย์ แต่ ‘ความบาป’ ทำให้มนุษย์การแยกจากพระเจ้า และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถไถ่โทษบาปด้วยตนเองได้ พระเจ้าจึงส่ง ‘พระเยซู’ ลงมาในโลกนี้เพื่อไถ่บาปของมนุษย์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่สาม เพื่อมอบความรอดแก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ โดยผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับการอภัยบาปและมีความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า”
ที่มา : จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
ศาสวัตในฐานะศิษยาภิบาลได้ฝากถ้อยคำหนุนใจให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นคริสเตียนว่า ขอให้อธิษฐานกับพระเจ้าเยอะ ๆ และอย่าปล่อยให้ความต้องการหรือความรู้สึกด้านร่างกายชนะเรา เหมือนที่เปาโลบอกคนในเมืองกาลาเทียว่า “ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเชื่อก็ให้เราจบลงด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเชื่อและจบลงด้วยเนื้อหนัง ก็ดูเหมือนว่าชีวิตของเราก็เหนื่อยเปล่า”
ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่มีความสนใจในศาสนาคริสต์ ศาสวัตได้เน้นย้ำว่า พระเจ้าไม่ได้กีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ พระเจ้ายินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาในคริสตจักร แต่เมื่อรับเชื่อแล้วก็อาจต้องมีการปรับหรือเลิกพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องด้วย พร้อมยกตัวอย่าง ‘ขันทีชาวเอธิโอเปีย’ ที่ได้ฟังเรื่องของพระเยซูแล้วรับเชื่อ จากนั้นสาวกของพระเยซูชื่อฟิลิปส์ก็บอกว่า “ถ้าท่านเชื่อ … พระเจ้าก็ไม่ได้ลงโทษเขา พระเจ้าก็ไม่ได้ตัดสินว่าเขาชั่วหรือบาป”
“ในฐานะผู้รับใช้ พระเจ้าก็บอกให้เรารักทุกคน คริสตจักรก็ยินดีต้อนรับทุกคน เราไม่สามารถปฏิเสธใครได้ แต่ด้วยหลักความเชื่อเราก็ไม่สามารถสนับสนุนหรือส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องได้ ทั้งนี้ หากเปิดใจและเชื่อในพระเจ้าแล้ว … อาจารย์ก็หวังว่า คนนั้นจะต้อง ‘ดีล’ กับพระเจ้าเอง หมายความว่าให้พระเจ้าช่วยเหลือหรือปลดปล่อย ซึ่งพระเจ้าไม่เคยรังเกียจผู้มีความหลากหลายทางเพศนะครับ” ศาสวัตกล่าว
ทั้งนี้ ฤกษ์สินได้กล่าวถึงเพลง แก้วตาดวงใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเพลงนมัสการอันมีเนื้อหากล่าวถึงคุณค่าของมนุษย์แต่ละคนในสายตาของพระเจ้า พระเจ้ารักและตั้งใจปั้นทุกคนอย่างมีเอกลักษณ์และมีความพิเศษในแบบของตัวเองเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า
“พระเจ้ารักคุณแหละ ดังนั้น อย่าสงสัยในความรักของพระเจ้า พระเจ้ารักคุณแม้โลกนี้จะมีคนที่ไม่เข้าใจหรือคนที่เกลียดชังคุณ … โดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียน LGBTQIA+ ที่อาจมีบาดแผลในใจ (Trauma) บางอย่างจากศาสนา ในส่วนของ LGBTQIA+ ทั่วไป แม้สังคมจะเปิดกว้างแต่เชื่อว่าในระดับครอบครัวยังอาจมีพ่อแม่หลายคนที่ยังรับไม่ได้ ผมอยากบอกว่าคุณเป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเสมอ … จงมั่นใจในความรักพระเจ้า เขารักคุณไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอให้คุณรู้ว่าตัวเองมีคุณค่ามาก ๆ และสะท้อนคุณค่านั้นออกมาในการใช้ชีวิตให้ดีที่สุดก็พอครับ”
ฤกษ์สินกล่าว
อ้างอิง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เรื่อง-ภาพ : โยษิตา สินบัว
หมายเหตุ :
การอ่านคัมภีร์ไบเบิล โดยมิต้องอาศัยบาทหลวงหรือสันตะปาปา แต่จะมีผู้ทำหน้าที่
สอนศาสนา คือ ‘ศิษยาภิบาล’ หรือเรียกว่า ‘อาจารย์’
พระคริสตธรรมไทย
ปีที่ผ่านมา ‘ความหลากหลายทางเพศ’ เป็นประเด็นที่ถูกยกมาถกเถียงในสังคมคริสเตียนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 ภายใต้บริบท สังคมที่กำลังก้าวไปข้างหน้าและให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิมนุษยชน’ โดยมองว่าความรักของทุกคนบนโลก ไม่ควรถูกกีดกันด้วยอคติเรื่องเพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา และควรได้รับการปกป้องคุ้มครองทางกฎหมาย
ขณะเดียวกัน คริสตจักรและองค์กรคริสเตียนหลายแห่งยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนดั้งเดิมที่กำหนดให้ความรักและการสมรสจำกัดอยู่ระหว่าง ‘ชาย-หญิง’ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ ที่ไม่สามารถจัดพิธีสมรสในคริสตจักรหรือได้รับคำอวยพรจากศาสนาที่พวกเขานับถือได้ นอกจากนี้ ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นคริสเตียนบางคนยังคงเผชิญแรงกดดันจากชุมชนในคริสตจักร ผ่านการเสนอให้พวกเขาแสดงออกตรงตามเพศกำเนิดหรือปฏิเสธตัวตนของตนเอง
ในบทความนี้ นิสิตนักศึกษาจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจจุดยืนและแนวปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศของคริสตจักร พร้อมชวนทำความรู้จัก กลุ่มลำธารสีรุ้ง หรือชุมชนคริสเตียนที่เชื่อว่า ‘คุณสามารถเป็นคริสเตียนที่เชื่อในพระคัมภีร์ 100% และเป็น LGBTQIA+ ไปพร้อมกันได้’
สำรวจ 4 จุดยืน ‘คริสตจักร’ กับมุมมองที่มีต่อ LGBTQIA+
ปัจจุบัน คริสตจักรในประเทศไทยและอาจหมายรวมถึงคริสตจักรทั่วโลก กำลังอยู่ระหว่างการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปว่า การเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็น ‘ความบาป’ หรือไม่ คนกลุ่มนี้สามารถมีบทบาทในคริสตจักรได้มากแค่ไหน และการกระทำใดบ้างที่นับว่าเป็นความบาป
ข้อถกเถียงเหล่านี้ เกิดจากการตีความโดยการแปลความหมายคัมภีร์ไบเบิลที่ต่างกันในแต่ละยุคสมัย ซึ่งต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิล ‘พันธสัญญาเดิม’ ที่ถูกเขียนเป็นภาษาฮีบรู ประมาณ 1445-1405 ปีก่อนคริสตกาล และ ‘พันธสัญญาใหม่’ ที่ถูกเขียนเป็นภาษากรีกเมื่อประมาณ 2000 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีการพูดถึงพฤติกรรมที่ตีความได้ว่า การเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือ สิ่งที่ผิดจากที่พระเจ้าสร้าง และการมีเพศสัมพันธ์ในเพศเดียวกัน ‘เป็นบาป’ ดังนี้
ปฐมกาล 1:27 กับการกำหนดชัดเจนถึง ‘เพศ’ ของมนุษย์ว่ามีเพียง ‘ชาย-หญิง’ ว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”
ปฐมกาล 19 กล่าวถึง ‘ความเสื่อมทรามของโสโดม’ เมืองเก่าแก่ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่ผู้คนในเมืองมีพฤติกรรมชั่วร้าย เช่น การฆาตกรรม การลักขโมย การล่วงประเวณี การบูชารูปเคาร พฤติกรรมที่หยิ่งผยอง และการไม่ให้เกียรติต่อผู้มาเยือน หลังพระเจ้าส่งทูตสวรรค์สององค์ไปเมืองดังกล่าว และ โลท หลานชายของอับราฮัมได้ต้อนรับพวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่ผู้ชายทุกคนในเมืองต่างมาล้อมบ้านของโลทและเรียกร้องว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน? จงส่งพวกเขาออกมาให้เรา เราจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา” แม้โลทเสนอบุตรสาวพรหมจารีของเขาให้แทน แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิเสธ และนำมาสู่เหตุการณ์ที่พระเจ้าทำลายเมืองโสโดมนี้
พันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับข้อห้ามและบทลงโทษของพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันในหนังสือ เลวีนิติ 18:22 กล่าวว่า “ห้ามผู้ชายหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันเช่นเดียวกับหลับนอนกับผู้หญิง เป็นสิ่งพึงรังเกียจ”
และ เลวีนิติ 20:13 กล่าวว่า “ชายใดนอนกับผู้ชายเหมือนอย่างกับผู้หญิง ทั้งสองคนทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ ทั้งสองคนนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายแน่ ๆ ที่พวกเขาต้องตายนั้นพวกเขาเองเป็นผู้รับผิดชอบ”
ขณะที่ภาคพันธสัญญาใหม่ในหนังสือ 1 โครินธ์ 6:9 กล่าวถึงผู้มีพฤติกรรม ‘รักร่วมเพศ’ ว่า จะไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ คือ “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ”
อาณัติ เป้าทอง นักศาสนศาสตร์ปกป้องความเชื่อคริสเตียน เผยแพร่บทความ ‘ข้อถกเถียงและจุดยืนของคริสตจักร เกี่ยวกับ LGBTQ+’ ผ่าน CHRISTLIKE เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ว่า สามารถแบ่งจุดยืนของคริสตจักรต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
‘Anti’ คือ กลุ่มคริสตจักรที่มีจุดยืนว่าการเป็น LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศ (Gender Expression) และการมีรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) ที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘เป็นบาป’ และไม่สนับสนุนให้บุคคลกลุ่มนี้มีบทบาทในคริสตจักร สามารถเป็นได้เพียงผู้ร่วมกิจกรรมเท่านั้น นอกจากนั้น คริสตจักรยังมีนโยบายหนุนใจให้กลับมาเป็นคนตรงเพศ (Straight) เพื่อให้คนกลุ่มนี้กลับใจและขึ้นสวรรค์ได้ โดยอ้างจากหนังสือ 1 โครินธ์ 6:9
กลุ่มที่สอง ‘Welcoming’ คือ กลุ่มคริสตจักรที่มีจุดยืนว่าการ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ แต่อาจเป็นสิ่งที่ผิดจากธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง เนื่องจากในหนังสือปฐมกาลซึ่งบันทึกเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้าได้กล่าวว่า พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีเพียงเพศชายและหญิง
นอกจากนั้น บางส่วนยังตีความว่า การเป็น LGBTQIA+ อาจเป็น ‘การทดสอบจากพระเจ้า’ ซึ่งเป็นการทดสอบความเชื่อเฉพาะบุคคล หรือบางคนอาจตีความว่าเป็น ‘ของประทานจากพระเจ้า’ คือ เป็นสิ่งที่ดีและมีลักษณะพิเศษเพื่อมาเสริมสร้างคริสตจักรในมุมใดมุมหนึ่ง ทั้งนี้ กลุ่ม Welcoming ไม่ได้สนับสนุนให้บุคคลกลุ่มนี้มีบทบาทในคริสตจักร หรืออาจมีได้แค่เพียงบทบาทเล็ก ๆ ไม่สามารถเป็นผู้นำหรือศิษยาภิบาลได้
กลุ่มที่สาม ‘Accepting’ เป็นกลุ่มที่มีแนวคิดคล้ายกลุ่มที่สอง คือ การ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ แต่อาจเป็นสิ่งที่ผิดจากธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง ต่างกันเพียงผู้มีความหลากหลายทางเพศในกลุ่มนี้ สามารถมีบทบาทในคริสตจักรทุกระดับ รวมถึงการเป็นศิษยาภิบาล
กลุ่มสุดท้าย ‘Affirming’ เป็นกลุ่มแนวคิดใหม่ที่มองว่า การ ‘เป็น’ LGBTQIA+ หรือผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด ‘ไม่บาป’ และเชื่อว่าสามารถมีเพศสัมพันธ์ทางร่างกายได้ ภายใต้เงื่อนไขของ ‘การแต่งงาน’ และความซื่อสัตย์ต่อคู่รักของตนเอง พร้อมอนุญาตให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถมีบทบาทในคริสตจักรทุกระดับอีกด้วย
แนวทางการ ‘สอน’ หรือ ‘ปฏิบัติ’ ต่อ LGBTQIA+ ของคริสตจักร
“ในฐานะคริสตจักร เราไม่สามารถปฏิเสธใครได้ เพราะด้วยความรักของพระเจ้า เรายินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาในคริสตจักร และไม่สามารถตัดสินได้ว่า คนนี้คนไม่ดี คนนี้ชั่ว คนนี้จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ในกรณีที่บางคนแสดงออกชัดเจนว่าเป็น LGBTQIA+ เราก็รับรู้และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเหมาะสม … ทั้งนี้ การเทศนาในชั้นเรียนพระคัมภีร์จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักความเชื่อและแนวปฏิบัติตามคำสอนที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก” ศาสวัตกล่าว
ชั้นเรียนพระคัมภีร์ (Bible Study)
ชั้นเรียนพระคัมภีร์ (Bible Study) คือ กิจกรรมที่คริสเตียนร่วมกันศึกษาเรียนรู้พระคำพระเจ้าหรือทำความเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิล โดยมีทั้งรูปแบบศึกษาผ่านการเทศนาโดยศิษยาภิบาลในวันอาทิตย์ หลังกิจกรรมนมัสการพระเจ้า และการศึกษาแบบกลุ่มย่อยตามวัฒนธรรมของแต่ละคริสตจักร
ศาสวัต มูลสถาน ศิษยาภิบาลประจำคริสตจักรที่สอง สามย่าน อายุ 48 ปี กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ดูแลสมาชิกในคริสตจักร และเป็นผู้เทศนาชั้นเรียนพระคัมภีร์ในบางสัปดาห์ เขาให้ความสำคัญกับการยึดหลักการของคัมภีร์ไบเบิลเป็นอันดับแรก คือ การอธิบายถึงหลักความเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีสองเพศเป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ซึ่งไม่ได้มีเจตนามุ่งตัดสินหรือตำหนิกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ อิทธิกร เด่นกิตติคุณ อายุ 34 ปี หัวหน้าทีมพันธกิจนักศึกษามหาวิทยาลัยในกรุงเทพ สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.) ผู้ทำงานกับกลุ่มนักศึกษาคริสเตียนหลายมหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้สังคมจะเริ่มมีการให้คำนิยามเกี่ยวกับ ‘เพศ’ มากขึ้น แต่ตัวเขาไม่ได้คิดว่าต้องยอมรับสิ่งที่สังคมหรือวัฒนธรรมบอกว่า ‘ดี’ ว่าเป็นสิ่งที่ ‘ถูกต้อง’ เพราะตามแนวคิด ‘สัมพัทธนิยม (Relativism)’ ซึ่งเชื่อว่าไม่มีความจริงใดตายตัว และความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ ดังนั้น หากมีกลุ่มบุคคลใดต้องยืนยันว่าอะไรบางอย่างเป็นความจริง คนกลุ่มนั้นก็ย่อมดูเหมือนพวกที่ต้องการได้รับอำนาจเหนือบุคคลอื่น
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.) คือ กลุ่มคริสเตียนที่ทำงานกับนักศึกษาที่เป็นคริสเตียนเป็นหลัก โดยมีลักษณะในการสร้างผู้นำคริสเตียน และเชื่อมั่นในการริเริ่มของนักศึกษาในการตอบสนองต่อสิ่งที่พระคัมภีร์สอน โดยที่ไม่ได้จำกัดนิกายหรือสังกัดคริสตจักร ผ่านการทำกิจกรรมกลุ่มคริสเตียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมี ‘พี่เลี้ยง’ จาก นคท. เข้ามาช่วยดูแล พูดคุย แลกเปลี่ยน และเสริมสร้างการเป็นสาวกของพระเยซูที่ยึดมั่นในการใช้ชีวิตตามพระคัมภีร์ให้กับนักศึกษาคริสเตียนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ที่มา : สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย
“แนวคิดสัมพัทธนิยม ทำให้หลายคนเข้าใจว่าคริสเตียนพยายามอ้างคำสอนและการเทศนาตามแนวทางของพระคัมภีร์ เพื่อใช้มุมมองเพศ ‘ชาย-หญิง’ มากดทับผู้คนที่เชื่อว่าความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง และสวยงาม แต่ขณะเดียวกัน หากอ้างอิงตามแนวคิดที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความจริงอย่างแท้จริง’ แล้วทำไมหลายคนจึงเป็นเดือดเป็นร้อนกับการที่คริสตจักรและคริสเตียนสอนว่า พระเจ้าทรงสร้างเพศมาเพียงแค่ 2 เพศ คือ ‘ชาย-หญิง’ ดังนั้น แม้โลกจะมีการเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น แต่คริสตจักรจะยังคงสอนและเทศนาเรื่องเพศตามหลักการในพระคัมภีร์อย่างแน่นอน” อิทธิกรกล่าว
แนวคิดสัมพัทธนิยม (Relativism)
สัมพัทธนิยม (Relativism) หมายถึง แนวคิดที่เชื่อว่าไม่มีความจริงแบบตายตัว ความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบความคิดความเชื่อ และโลกทัศน์ของคนแต่ละกลุ่ม ในทางมานุษยวิทยาอธิบายว่าสัมพัทธนิยมคือระเบียบวิธีที่นักมานุษยวิทยาใช้พิจารณาเพื่อทำงานภาคสนามในชุนชนของมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมต่างไปจากตะวันตก ซึ่งนักมานุษยวิทยาจะต้องไม่นำเอาความคิดแบบตะวันตกไปตัดสินคุณค่าทางวัฒนธรรมของคนอื่น และต้องศึกษาความคิดของคนอื่นในฐานะที่เป็นเงื่อนไขทางสังคมที่มีลักษณะเฉพาะ
ที่มา : ฐานข้อมูลคำศัพท์ทางมานุษยวิทยา
ทั้งนี้ นคท. มีหน้าที่ในการสนับสนุน ให้กำลังใจ และแนะนำการใช้ชีวิตของนักศึกษาให้ดำเนินชีวิตตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล โดยไม่ได้แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ ภาษา หรือสีผิว ในการดูแลคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน อิทธิกรเข้าใจดีว่า หลายครั้งคนเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและมีความท้าทายในการปฏิบัติตามคำสอนในพระคัมภีร์ ซึ่งภายใต้ความท้าทายเหล่านั้น นคท. จะไม่ใช้วิธีบังคับหรือกดดันทางคำพูด แม้แต่คำพูดที่ดูเหมือนหวังดีแต่แฝงไปด้วยความต้องการควบคุมหรือทำให้รู้สึกผิด (Passive Agressive) ก็ตาม เพราะอิทธิกรเชื่อว่า การใช้ชีวิตคริสเตียนเป็น ‘ทางเลือก’ ของทุกคน ตามที่พระเจ้าให้ ‘เจตจำนงเสรี (Free Will)’ กับมนุษย์ทุกคนในการเลือกที่จะใช้ชีวิตและรับผิดชอบต่อผลการกระทำของตัวเอง
ดังนั้น หากมีผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ามาพูดคุยและขอคำปรึกษากับ ‘พี่เลี้ยง’ ที่ดูแลกลุ่มนักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัย แน่นอนว่า พี่เลี้ยงจะพูดตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างตรงไปตรงมา คือ พระเจ้าสร้างให้มนุษย์เป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ เท่านั้น รวมถึงมุมมองในการแต่งงานก็ได้มีระบุไว้ว่า
อย่างไรก็ตาม ศาสวัตเสนอว่า คริสตจักรจำเป็นต้องเตรียมแนวทางในการดูแลและทำความเข้าใจกับคนกลุ่มนี้โดยไม่ตัดสิน โดยเฉพาะศิษยาภิบาลที่ต้องกล้าเปิดใจคุยกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ และทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะเข้ามาคุยด้วย พร้อมการไม่แสดงท่าทีรังเกียจ ซึ่งการเข้าใจภูมิหลังของคนกลุ่มนี้จะทำให้ศิษยาภิบาลมีข้อมูลสำหรับการหาแนวทางในการดูแลและปกป้องพวกเขาจากการถูกตั้งคำถามโดยคนในคริสตจักร และจากประสบการณ์ของศาสวัตก็เคยมีผู้เชื่อในคริสตจักรมาเปิดเผยด้วยตนเองว่าเป็น LGBTQIA+ ซึ่งศาสวัตก็รับรู้และให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
“เผื่อวันหนึ่ง คนในคริสตจักรมาถามอาจารย์ว่า ‘คนนี้เขาเป็นเกย์หรือเปล่า ?’ หากเรามีข้อมูล
เราก็สามารถอธิบายให้คนนั้นฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน และเพื่อปกป้องผู้มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ด้วย … แต่ศิษยาบาลก็ต้องเก็บเรื่องของพวกเขาเป็นความลับด้วยนะ ไม่ใช่ไปประกาศโฆษณาให้ทั้งที่เจ้าตัวไม่ยินยอม” ศาสวัตกล่าวถึงแนวทางการดูแลผู้เชื่อในพระเจ้า
รู้จัก ‘ลำธารสีรุ้ง’ ชุมชนคริสเตียนที่พร้อมโอบอุ้มคนทุกเพศ
ในปี 2565 ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต สส. พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นคริสเตียนได้โหวตสวนมติพรรคก้าวไกลที่จะรับรองกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับ ‘จุดยืน’ ของคริสเตียนที่มีต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ และเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนคริสเตียนกลุ่มใหม่ชื่อ ‘ลำธารสีรุ้ง’ ซึ่งยึดแนวทาง ‘Affirming’ โดยเชื่อว่าการเป็น LGBTQIA+ หรือการแสดงออกทางเพศที่แตกต่างจากเพศกำเนิดนั้น ‘ไม่บาป’ และมองว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หากอยู่ในกรอบของการแต่งงานและความซื่อสัตย์ต่อคู่รัก
ฤกษ์สิน เขมสุนทร สมาชิกกลุ่มลำธารสีรุ้ง วัย 37 ปี กล่าวว่า ลำธารสีรุ้งเป็นชุมชนเล็ก ๆ ของผู้เชื่อศาสนาคริสต์ ไม่จำกัดนิกาย ไม่สังกัดโบสถ์ และทุกคนสามารถเข้าร่วมกลุ่มได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็น LGBTQIA+ ผ่าน LINE OpenChat ซึ่งฤกษ์สินเป็นหนึ่งในทีมผู้นำ มีหน้าที่อภิบาลและช่วยให้คําปรึกษาสมาชิกในกลุ่ม รวมถึงการจัดกิจกรรมและระดมความคิดในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มด้วย
‘ลำธารสีรุ้ง’ ริเริ่มโดย ซัน-สิทธวีร์ ธีรกุลชน เขาเป็น ‘สเตรท’ ที่เกิดในครอบครัวคริสเตียน และเคยเชื่อว่า LGBTQIA+ เป็นความบาปที่ต้องสารภาพบาปและกลับใจ
“ซันมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคริสเตียนที่เป็น ‘เกย์’ และใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยพร้อมรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งขัน เพื่อนของซันเป็นคนที่รักพระเจ้ามาก แต่ด้วยบริบทความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) และจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง สุดท้ายเพื่อนของซันได้จบชีวิตลงด้วย ‘การฆ่าตัวตาย’ ” ฤกษ์สินเล่าถึงประสบการณ์ของสิทธวีร์ ผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มลำธารสีรุ้ง
รับใช้ คืออะไร?
‘รับใช้’ ในบริบทของคริสเตียน หมายถึง การดำเนินชีวิตหรือการกระทำที่แสดงถึงการอุทิศตนเพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น โดยยึดหลักความรัก ความเมตตา และความเสียสละตามคำสอนในพระคัมภีร์ การรับใช้ถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิตคริสเตียนที่สะท้อนถึงความเชื่อและการตอบสนองต่อความรักของพระเจ้า
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้สิทธวีร์เกิดความสับสนในความเชื่อของตนเอง เขาจึงเริ่มศึกษาการตีความคัมภีร์ไบเบิลกับเรื่องความหลากหลายทางเพศ จนสุดท้ายได้มาพบกับ ‘ศาสนศาสตร์แห่งการรับรอง (Affirming Theology)’ ซึ่งตีความว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ความผิดบาป แต่เกิดจาก ‘การแปลความหมายที่ผิด’ และนำมาสู่การตีความเพื่อกีดกันกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
“LGBTQIA+ หลายคนมักถูกกีดกันไม่ให้รับใช้ในบางบทบาทของคริสตจักร เช่น ไม่ให้เล่นดนตรีในทีมนมัสการ ไม่สามารถเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลผู้เชื่อคนอื่น บางคนจบการศึกษาในหลักสูตรศาสนศาสตร์แล้วก็ไม่สามารถขึ้นเทศนาหรือเป็นศิษยาภิบาลได้ บางโบสถ์ก็อธิษฐานวางมือขับผีหรือวิญญาณชั่ว เพราะเชื่อว่ามีวิญญาณ ‘ล่อลวง’ ให้คนนี้เป็น LGBTQIA+ ออกไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้บางคนเกิดความรู้สึกว่า ‘พระเจ้าไม่รักเขา’ และไม่กล้าเข้าหาพระเจ้าอีก” ฤกษ์สินเล่าประสบการณ์ของ LGBTQIA+ บางคนที่ถูกกีดกันจากคริสตจักร
ทั้งนี้ ฤกษ์สินกล่าวว่า เนื่องจากลำธารสีรุ้งต้อนรับทุกคนเข้ามาใน LINE OpenChat โดยไม่จำเป็นต้องเป็น LGBTQIA+ แต่ก็ได้สร้างห้องแยกเพื่อสงวนพื้นที่ให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะ รวมถึงแชทย่อยสำหรับผู้ต้องการคำปรึกษาด้านศาสนศาสตร์ ซึ่งภายในกลุ่มจะมีผู้ที่ศึกษาด้านศาสนศาสตร์อยู่ และหากใครต้องการคำปรึกษาส่วนตัวก็สามารถแจ้งภายในกลุ่มได้เช่นกัน
คัมภีร์ไบเบิลฉบับ 1946 : แปลผิด วัฒนธรรมเปลี่ยน จริงหรือ?
‘การแปลความหมายที่ผิด’ ที่ฤกษ์สินกล่าวถึงนั้น อ้างอิงจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง 1946: The Mistranslation That Shifted Culture โดย ชารอน โรจจ์จิโอ (Sharon Roggio) ที่นำเสนอเรื่องราวของนักวิจัยผู้สืบค้นต้นตอของขบวนการต่อต้าน LGBTQIA+ ในหมู่คริสเตียน และพบว่าจุดเริ่มต้นในการใช้คำว่า ‘รักร่วมเพศ (Homosexual)’ มาจากการแปลภาษากรีก 2 คำ คือ ‘malakoi’ กับ ‘arsenokoitai’ ใน 1 โครินธ์ 6:9 มาตีความรวมกันซึ่งปรากฏครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1946
ภาพยนตร์สารคดี 1946 ชี้ว่า ‘malakoi’ ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้หมายถึงผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงหรือโสเภณีชาย แต่สื่อถึงผู้ที่ขาดการควบคุมตนเอง ส่วน ‘arsenokoitai’ ก็ไม่ควรถูกแปลตรงตัวว่า ‘พวกรักร่วมเพศ’ เพราะเป็นคำที่สะท้อนบริบทของยุคโรมันซึ่งมีการกดขี่ทางเพศระหว่างชายที่สถานะไม่เท่ากัน คำนี้จึงน่าจะมีความหมายเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์หรือความสัมพันธ์ที่เห็นแก่ตัวมากกว่า
อธิบายคำศัพท์ ‘malakoi’ และ ‘arsenokoitai’ เพิ่มเติม
ที่มา : รักเพศเดียวกันบาปจริงหรือ : มองพระคัมภีร์ด้วยแนวคิดใหม่
จากที่กล่าวข้างต้นว่า คัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาในยุคโบราณ ส่วนใหญ่เป็นภาษาฮีบรู ส่วนพันธสัญญาใหม่เขียนขึ้นเป็นภาษากรีกโบราณที่ไม่ถูกใช้ในปัจจุบันแล้ว ทำให้ไบเบิลถูกแปลขึ้นใหม่หลายภาษา ผู้อ่านจึงจำเป็นต้องเข้าใจบริบทของสังคมและวัฒนธรรมที่ถูกเขียนขึ้น ณ เวลานั้น เพื่อให้เข้าใจคำสอนของพระเยซูและเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง
“ภาพยนตร์สารคดี 1946 เป็นเพียงการตีความพระคัมภีร์เข้าข้างความต้องการของกลุ่มผู้จัดทำ โดยให้ความเห็นที่ไม่เป็นไปตามแนวทางการตีความพระคัมภีร์ (Hermeneutics) และพยายามบิดเบือนความตั้งใจของผู้เขียน (เปาโล) และความเข้าใจของผู้ฟังกลุ่มแรก (คริสเตียนสมัยกรีกโบราณ)” อิทธิกรกล่าว
อิทธิกรให้ความเห็นต่อการตีความคำว่า ‘malakoi’ กับ ‘arsenokoitai’ ของภาพยนตร์สารคดี 1946 ว่าเป็นการอธิบายศัพท์ผ่านการวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างและความอยุติธรรมของสังคมในสมัยนั้น โดยใช้มุมมองของคนในยุคปัจจุบันที่มีหลักคิดตามทฤษฎีวิพากษ์ทางเชื้อชาติ (Crititcal race theory) ที่ว่า ‘สังคมย่อมมีผู้ถูกกดขี่อยู่เสมอ’ ไปตัดสินงานเขียนในอดีต และอาจทำให้สาสน์ที่เปาโลต่อการสื่อผิดเพี้ยนไป
ทั้งนี้ อิทธิกรมองว่า ‘arsenokoitai’ ที่เปาโลหยิบมาใช้เป็นคนแรกนั้น มาจากการแปลภาษาฮีบรูใน เลวีนิติ 20:13 ว่า “ชายใดนอนกับผู้ชายเหมือนอย่างกับผู้หญิง (mishkav zakur) ทั้งสองคนทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ …” แต่คณะผู้จัดทำภาพยนตร์ก็ได้พยายามนำเสนอว่า หลายข้อบังคับในเลวีนิติไม่ได้ถูกหยิบมาใช้แล้ว เพราะพระเยซูได้มาเติมเต็มคำสอนในพันธสัญญาเดิมแล้วให้ยึดคำสอนในพันธสัญญาใหม่เป็นหลัก ซึ่งความคิดดังกล่าวอาจทำให้ไม่สามารถอธิบายอีกหลายสิ่งที่พระเยซูสอนได้เลย
นอกจากนั้น คริสเตียนจะทราบกันดีว่า พระเยซูมาเติมเต็มพันธสัญญาเก่าเกี่ยวกับการไถ่บาป แต่พระเยซูไม่ได้ลบล้างหลักการทางศีลธรรม เพราะคริสเตียนยังคงเชื่อและทำหลักการทางศีลธรรมตามบัญญัติ 10 ประการในพันธสัญญาเก่าอยู่ดี
การไถ่บาป
ในพันธสัญญาเดิม การไถ่บาปต้องผ่านพิธีกรรมและเครื่องบูชาเพื่อชำระบาป เช่น แกะ ลูกวัว หรือแพะ ตามที่ระบุไว้ในพระธรรมเลวีนิติ เพื่อเป็นตัวแทนรับโทษบาปแทนมนุษย์ แต่พระเยซูมาเติมเต็มพันธสัญญาเดิมด้วยการเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์เพียงครั้งเดียว โดยการเสียชีวิตบนไม้กางเขน และเปิดทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยและความรอดอย่างถาวรผ่านความเชื่อในพระองค์
ทั้งนี้ อิทธิกรอธิบายต่อว่า ที่ผ่านมานักศาสนศาสตร์ได้ศึกษา แปลความหมาย และตีความคัมภีร์ไบเบิลจากต้นฉบับ พร้อมการคำนึงถึงบริบทสังคมในยุคสมัยมาตลอด ดังนั้น กลุ่มผู้จัดทำภาพยนตร์สารคดี 1946 จึงไม่ใช่คนกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่แปลและตีความออกมาในเชิงปัญหาทางโครงสร้างของสังคม
พระเจ้าเป็นผู้สร้าง LGBTQIA+ เพื่องานบางอย่างในคริสตจักร?
นอกจากข้อถกเถียงเกี่ยวกับการตีความและแปลความหมายจากต้นฉบับในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากมายที่มีมุมมองต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อว่าพวกเขาคือคนที่พระเจ้าสร้างขึ้นให้มีลักษณะพิเศษเพื่อรับใช้งานบางอย่างของคริสตจักร เส้นของความบาปในการเป็น LGBTQIA+ คือ สามารถแสดงออกทางเพศได้แต่มีความสัมพันธ์ไม่ได้ รวมถึงการตั้งคำถามว่า “ทำไมบาปของการเป็น LGBTQIA+ ถึงเป็นบาปหนักกว่าการกระทำอื่น?”
“อาจจะดูเหมือนตีความเข้าข้างตัวเองไปหน่อย เหมือนเป็นการตีความจากข้อพระคัมภีร์หลายข้อแล้วเอามารวมกันให้รู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ผิด’ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ต้องระมัดระวังในการศึกษาพระคัมภีร์ ในประเด็นการสร้างของพระเจ้านั้น อาจารย์ขอยืนยันตามเดิมว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็น ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ” ศาสวัตให้ความเห็นต่อกรณีการตีความว่า LGBTQIA+ คือสิ่งที่พระเจ้าสร้าง
ศาสวัตกล่าวว่า การเป็น LGBTQIA+ นั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยศาสวัตได้แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ หนึ่ง เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อย่างบางคนเป็นผู้ชายแต่มีฮอร์โมนเพศชายน้อย ก็อาจส่งผลให้ร่างกายมีลักษณะของความเป็นเพศชายไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก เช่น เสียงเล็ก ไหล่แคบ หรือคนที่เกิดมาเป็นอินเตอร์เซ็กส์ (Intersex)
สอง ปัจจัยจากการเลี้ยงดูในครอบครัวหรือประสบการณ์วัยเด็ก เช่น การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน หรือเคยเผชิญกับการล่วงละเมิดในครอบครัว อาจส่งผลต่อความรู้สึกและจิตใจที่ ‘เบี่ยงเบน’ ไปในบางด้าน สุดท้ายคือกลุ่มคนที่ ‘ตั้งใจเป็น’ หรือเลือกที่จะเป็นด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายสำหรับคริสตจักรในการทำความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้มากขึ้น พร้อมทั้งยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็นในด้านการแสดงออกทางเพศเหล่านี้
สอดคล้องกับอิทธิกรที่มองว่า พระเจ้าได้สร้างมนุษย์เป็น ‘ชาย-หญิง’ กระทั่งในหนังสือปฐมกาล 3 กล่าวว่าความบาปเข้ามาในโลก ซึ่งคริสเตียนเชื่อว่า ‘ความสับสน’ ในตัวตนเรื่องเพศ รวมถึงบาปอื่น ๆ บนโลกก็ล้วนเกิดจากการล้มลงในบาปของมนุษย์ ส่วนความรู้สึกที่มนุษย์หนึ่งคนมีต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนตรงเพศหรือ LGBTQIA+ นั้น ก็นับเป็นการทดลองทางเนื้อหนังด้วยกันทั้งสิ้น
ความสัมพันธ์ของ LGBTQIA+ เป็น ‘ความรัก’ หรือ ‘ความบาป’
ศาสวัตในฐานะศิษยาภิบาลกล่าวถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคริสตจักรและผู้มีความหลากหลายทางเพศ
แม้การเป็น LGBTQIA+ จะไม่บาปจนกว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่นั่นก็อาจหมายถึงผู้ที่อยู่ในกลุ่มหลากหลายทางเพศนี้ ไม่ควรมีความรู้สึก ‘รัก’ ใครในเชิงชู้สาวหรือหมดโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก แม้แต่การมี ‘เพศสัมพันธ์’ ก็ไม่อาจทำได้ เพราะตามหลักความเชื่อคริสเตียนนั้น มนุษย์จะมีเพศสัมพันธ์ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการแต่งงานแล้ว ซึ่งขัดกับคริสตจักรหลายแห่งที่ไม่อนุญาตให้บุคคลเหล่านี้จัดพิธีสมรสในโบสถ์
“LGBTQIA+ บางคนก็พยายามต่อสู้ พยายามเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้จริง ๆ พวกเขาก็อยากมีคู่ มีความรัก มีความต้องการทางเพศ จะให้โสดตลอดชีวิตแล้วแอบทำบาปหรือ เพราะในไบเบิลก็บอกว่า เป็นการดีถ้าชาย-หญิงจะไม่มีเพศสัมพันธ์กัน แต่หากเร่าร้อนไปด้วยราคะตัณหาก็จงไปแต่งงานดีกว่าที่จะไปทำบาปเรื่องเพศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทางออกของชาย-หญิง แล้วคนที่เป็น LGBTQIA+ เขาจะมีทางออกอย่างไร เขาไม่สามารถมีคนรักหรือหากมีคู่ก็ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลยหรอ” ฤกษ์สินกล่าว
ฤกษ์สินบอกว่า ตนเองเข้าใจกลุ่มคนที่มีจุดยืนว่า ‘การมีความสัมพันธ์ทางเพศ’ ของ LGBTQIA+ เป็นบาป แต่ตนก็อยากสะท้อนอีกมุมให้คนเหล่านี้ได้ขบคิด หรือหากมองว่านี่คือเรื่องของผู้มีความหลากหลายทางเพศและต้องต่อสู้ด้วยตนเอง ฤกษ์สินคิดว่าเป็น ‘ความใจแคบ’ และตนเชื่อว่าพระเจ้าที่เขาเชื่อไม่ได้มองแคบขนาดนั้น
“คนที่บอกให้ LGBTQIA+ ต่อสู้กับความบาปด้วยตนเอง ก็ไม่ได้มาเป็น LGBTQIA+ เองด้วยซ้ำ เขาไม่ได้เข้าใจหรอกว่า LGBTQIA+ ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ผมว่าการตีความแบบนี้ไม่ได้ส่งเสริมให้เราทำบาป เพราะเราก็รู้ว่าการล่วงประเวณี ติดเซ็กส์ มีชู้ เป็นบาป แต่ผมว่าถ้าเกิด LGBTQIA+ มีคู่ มีความรักที่สัตย์ซื่อ พวกเขาไม่ได้บาป” ฤกษ์สินกล่าว
มนุษย์ทุกคนเป็น ‘คนบาป’ บาปทุกชนิดให้ผลเท่ากัน แต่ทำไม LGBTQIA+ ถึงดูเหมือนเป็นบาปใหญ่
หนังสือยอห์น 8:1-11 ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ธรรมาจารย์และพวกฟาริสี (ผู้นำศาสนาชาวยิว) พาผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับฐานล่วงประเวณีและให้ยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน เพื่อให้ถูกขว้างหินจนตายตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม พวกเขาถามพระเยซูว่าควรทำตามบัญญัติที่เขียนไว้โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระเยซู แต่พระเยซูได้ตอบกลับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”
จากยอห์น 8:1-11 สะท้อนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครกล้าหยิบก้อนหินมาปาใส่หญิงคนนั้น แม้แต่พระเยซูที่เป็นผู้บริสุทธิ์ก็ยังไม่เอาโทษนาง เพียงแค่บอกว่า “ต่อจากนี้อย่าทำบาปอีก”
หนังสือมัทธิว 5:21-28 พระเยซูได้บอกว่า ‘การฆ่าคน’ และ ‘ความรู้สึกโกรธ’ ต่างเป็นความบาปทั้งคู่ แม้ว่าทั้งสองอย่างจะเป็นความผิดบาปในสายตาของพระเจ้า แต่ความผิดบาปอย่างหนึ่งอาจเลวร้ายกว่าอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อพูดถึงผลที่ติดตามมาชั่วนิรันดร์และความรอด ความบาปทุกอย่างเท่าเทียมกันหมด คือ ทุกความบาปจะนำไปถึงการพิพากษานิรันดร์
ซึ่งข้อพระคัมภีร์จากหนังสือสองตอนนี้ มักถูกนำมาเป็นข้อโต้แย้งระหว่างคริสตจักรและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ คือ สุดท้ายคนทุกคนก็เป็นคนบาปและทุกบาปส่งผลเหมือนกันคือจะถูกพิพากษาในวันสุดท้าย แล้วทำไมคริสตจักรจึงต้องพร่ำบอกว่า LGBTQIA+ เป็นบาปหนักและต้องปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อให้ได้เข้าแผ่นดินของพระเจ้า
ศาสวัตมองว่า การเชื่อว่าทุกคนมีความบาปนั้นถูกต้อง แต่หากเราดำเนินชีวิตต่อไปทั้งที่รู้ว่าเป็นบาปก็ไม่ต่างจากการเอาช่องว่างระหว่างถ้อยคำไม่กี่คำในหนังสือเล่มใหญ่มาบอกว่า “ฉันเป็นคนบาป แต่คนอื่นก็บาปเหมือนฉัน เพราะฉะนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร” ซึ่งศาสวัตคิดว่านี่คือการนำ ‘ความรัก’ ของพระเจ้ามาสนับสนุนตัวเองในทางที่ไม่ถูกต้อง
ขณะที่ฤกษ์สินเข้าใจว่า สิ่งที่คริสตจักรบางแห่งทำนี้เป็น ‘ความหวังดี’ คือ พวกเขาอาจจะเป็นห่วงว่า LGBTQIA+ จะตกนรกและไม่ได้ขึ้นสวรรค์ตามที่เขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 6:9 จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองและกลับใจ
“เขาคงมองว่า พระเจ้ารัก LGBTQIA+ เหมือนกัน แต่ LGBTQIA+ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเชื่อว่า ‘ความรัก’ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ เขาเลยอยากให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรามาก แล้วเราจะเปลี่ยนให้พระเจ้าได้ไหม เราจะได้ไม่ต้องตกนรก” ฤกษ์สินกล่าว
ขณะที่อิทธิกรให้ความเห็นว่า สาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่า LGBTQIA+ เป็นบาปที่ใหญ่และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันสังคมกำลังให้ความสนใจในประเด็นนี้และยังอยู่ระหว่างการถกเถียงในมุมมองที่หลากหลาย หากย้อนกลับไปในช่วง 100 ปีที่แล้ว อเมริกาก็มีประโยคที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักทุกคน แม้กระทั่งคนที่เป็นทาส ทุกคนมีบาป บาปเท่ากัน แต่ทำไมคนที่มีทาสในครอบครองถึงเป็นบาปที่ใหญ่”
อิทธิกรสะท้อนว่า หาก ‘ค่านิยม’ ของสังคมล้อไปตามพระคัมภีร์ คริสเตียนก็ย่อมเห็นด้วยและสนับสนุน แต่เมื่อบางค่านิยมของสังคมที่ไม่สอดคล้องกับหลักการในพระคัมภีร์ คริสเตียนก็ต้องทำตัวเหมือนปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำต่อไป
“เราเดาว่าในอนาคตประเด็น LGBTQIA+ จะจางลง และเราอาจต้องมานั่งคุยกันเรื่อง ‘หลายผัวหลายเมีย (Polygamy)’ และอาจมีประโยคเดียวกันว่า ‘พระเจ้ารักทุกคนแม้เขาจะมีภรรยาหรือสามีหลายคน ทุกคนมีบาป บาปเท่ากัน ทำไมการมีสามีภรรยาหลายคนจึงเป็นบาปที่ใหญ่กว่าบาปอื่น’ เมื่อประเด็นใดในสังคมกำลังเสียงดัง ถ้าสิ่งนั้นขัดต่อพระคัมภีร์ สิ่งนั้นก็จะเสียงดังใน
คริสตจักรตามเท่านั้นเอง” อิทธิกรกล่าว
จุดยืนของคริสตจักรหลัง ‘สมรสเท่าเทียม’ ถูกบังคับใช้
ขณะที่ข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งความบาปของการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศในชุมชนคริสเตียนยังคงดำเนินอยู่ ประเทศไทยได้ก้าวสู่ความเปิดกว้างทางเพศด้วย ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ที่เปิดทางให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิคู่สมรสตามกฎหมาย แต่สำหรับหลายคน นอกจากสิทธิตามกฎหมายแล้ว อีกหนึ่งความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือการถูก ‘อวยพร’ จากพระเจ้าที่เขาเชื่อหรือได้จัดงานแต่งงานใน ‘โบสถ์’ ตามที่พวกเขาใฝ่ฝัน
ทั้งนี้ ศาสวัตอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ที่โบสถ์ไม่ทำพิธีให้นั้นไม่ได้ต้องการกีดกัน แต่เนื่องจาก
คริสตจักรได้ยึดหลักความเชื่อตามคัมภีร์ไบเบิลที่อ้างถึงก่อนหน้านี้ หากต้องอะลุ่มอล่วยหนึ่งอย่าง ข้อกำหนดอื่น ๆ มันอาจต้องถูกอะลุ่มอล่วยตามไปด้วย ซึ่งหลังจากนี้ คริสตจักรอาจจะต้องเขียนคําแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรออกมาเพื่อยืนยันว่าหลักความเชื่อของตนเอง โดยยืนยันว่า “เราไม่ได้กีดกันคนที่จะเข้ามาโบสถ์ แต่เราแค่ไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์”
นอกจากนั้น อิทธิกรยังอธิบายถึงมุมมองของ ‘การแต่งงาน’ ตามหลักคัมภีร์ไบเบิลว่า การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของสามีและภรรยา เนื่องจากการแต่งงานถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนภาพที่ใหญ่กว่า คือ ‘พระเยซู-คริสตจักร’ ตามหนังสือ วิวรณ์ 19:7-9 กับคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลกตามความเชื่อศาสนาคริสต์ โดยเปรียบการแต่งงานกับความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์ (พระเยซู) และคริสตจักร (ผู้เชื่อ) พร้อมกับความหวังในอนาคตที่ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันในความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคำเตือนให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์และเตรียมพร้อมสำหรับวันที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้ง
จากประสบการณ์พูดคุยกับคนในชุมชนลำธารสีรุ้งและผู้มีความหลากหลายทางเพศอื่น ๆ ฤกษ์สินกล่าวว่า แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านก็คงมี LGBTQIA+ ส่วนน้อยที่จะแต่งในโบสถ์ เพราะก้าวแรกอย่างการถูกยอมรับในคริสตจักรยังเคลื่อนไหวลำบาก ขณะเดียวกัน ฤกษ์สินได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำคริสเตียนหลายคนซึ่งเขาก็กังวลกับสถานการณ์เหล่านี้เช่นกัน
“เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนที่เห็นต่างแล้วต้องเอาชนะให้ได้ เราเคารพในจุดยืนและการตัดสินใจของเขา เราจะไม่ไปกดดันให้คุณทำอะไรที่คุณไม่โอเค แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ออกมาเรียกร้องอยู่บ้าง” ฤกษ์สินกล่าว
ทั้งนี้ สิทธวีร์หรือผู้ก่อตั้งกลุ่มลำธารสีรุ้ง ก็เคยเป็นประธานในการประกอบพิธีสมรสให้คู่รัก ‘หญิง-หญิง’ และได้เผยแพร่ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจ ‘ลำธารสีรุ้ง RainbowStream’ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2567 ว่า หากหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้ แล้วมีคู่รัก LGBTQIA+ อยากจัดงานแต่งงานแบบคริสเตียน กลุ่มลำธารสีรุ้งยินดีให้บริการ
ในพิธีแต่งงานเพศเดียวกันแบบคริสเตียน จาก ลำธารสีรุ้ง
พระเจ้า ‘รัก’ คุณ แม้โลกนี้จะมีคนที่ไม่เข้าใจหรือคนที่เกลียดชังคุณ
“อยากบอกอะไรกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ”
คือคำถามของนิสิตนักศึกษาในท้ายสุด
“Unpopular opinion นะครับ … อาจมีคริสเตียนบางคนบอกว่า การติดตามพระเยซู คือ ความเบา สบาย ไม่รู้สึกเหมือนถูกกดทับ กดดัน หรือเรียกร้อง เราสามารถมาหาพระเยซูอย่างที่เราเป็น ซึ่งก็เป็นความจริงในส่วนหนึ่ง แต่นั่นคือแอกทางศีลธรรมที่คริสเตียนไม่ต้องแบก (ความบาป) เพื่อไปถึงความรอด เพราะเราไม่สามารถมีชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ และมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้ ยังต้องต่อสู้กับราคะ ตัณหา และความอยากในชีวิต” อิทธิกรกล่าว
อิทธิกรได้ยกคำพูดของพระเยซูใน มาระโก 8:34-38 ที่บอกว่า ‘ถ้าใครอยากจะติดตามเรา คนนั้นต้องเลิกตามใจตัวเอง และแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเรามา …’ กล่าวคือ การเลือกที่จะเชื่อในศาสนาคริสต์นั้น อาจไม่ได้มีแต่ความสบายอย่างคริสเตียนหลายคนบอก เพราะเรายังต้องต่อสู้กับความต้องการด้านเนื้อหนัง เนื่องจากความเป็นมนุษย์ที่ไม่สามารถละสิ่งเหล่านี้ได้
ขณะเดียวกัน การเลือกเชื่อในคริสตศาสนาจะนำมาสู่ความรอดโดยความเชื่อ ซึ่งต้องปฏิเสธตัวเองและติดตามพระเยซู ไม่ละอายในข่าวประเสริฐและคำสอนของพระเยซู อิทธิกรกล่าวอีกว่า “พระเจ้ารักเราทุกคน พระคุณพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาไถ่เราจากความบาป เมื่อใดที่เราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า เราจะอยากปฏิเสธตัวเอง”
ข่าวประเสริฐคืออะไร
ข่าวประเสริฐ (Good News หรือ Gospel) คือ ถ้อยคำที่คริสเตียนใช้เพื่ออธิบายสาระสำคัญของความรอดและพระคุณของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ สาระสำคัญของข่าวประเสริฐคือการประกาศว่า
“พระเจ้าทรงรักมนุษย์ แต่ ‘ความบาป’ ทำให้มนุษย์การแยกจากพระเจ้า และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถไถ่โทษบาปด้วยตนเองได้ พระเจ้าจึงส่ง ‘พระเยซู’ ลงมาในโลกนี้เพื่อไถ่บาปของมนุษย์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่สาม เพื่อมอบความรอดแก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ โดยผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับการอภัยบาปและมีความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า”
ที่มา : จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
ศาสวัตในฐานะศิษยาภิบาลได้ฝากถ้อยคำหนุนใจให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นคริสเตียนว่า ขอให้อธิษฐานกับพระเจ้าเยอะ ๆ และอย่าปล่อยให้ความต้องการหรือความรู้สึกด้านร่างกายชนะเรา เหมือนที่เปาโลบอกคนในเมืองกาลาเทียว่า “ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเชื่อก็ให้เราจบลงด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเชื่อและจบลงด้วยเนื้อหนัง ก็ดูเหมือนว่าชีวิตของเราก็เหนื่อยเปล่า”
ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่มีความสนใจในศาสนาคริสต์ ศาสวัตได้เน้นย้ำว่า พระเจ้าไม่ได้กีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ พระเจ้ายินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาในคริสตจักร แต่เมื่อรับเชื่อแล้วก็อาจต้องมีการปรับหรือเลิกพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องด้วย พร้อมยกตัวอย่าง ‘ขันทีชาวเอธิโอเปีย’ ที่ได้ฟังเรื่องของพระเยซูแล้วรับเชื่อ จากนั้นสาวกของพระเยซูชื่อฟิลิปส์ก็บอกว่า “ถ้าท่านเชื่อ … พระเจ้าก็ไม่ได้ลงโทษเขา พระเจ้าก็ไม่ได้ตัดสินว่าเขาชั่วหรือบาป”
“ในฐานะผู้รับใช้ พระเจ้าก็บอกให้เรารักทุกคน คริสตจักรก็ยินดีต้อนรับทุกคน เราไม่สามารถปฏิเสธใครได้ แต่ด้วยหลักความเชื่อเราก็ไม่สามารถสนับสนุนหรือส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องได้ ทั้งนี้ หากเปิดใจและเชื่อในพระเจ้าแล้ว … อาจารย์ก็หวังว่า คนนั้นจะต้อง ‘ดีล’ กับพระเจ้าเอง หมายความว่าให้พระเจ้าช่วยเหลือหรือปลดปล่อย ซึ่งพระเจ้าไม่เคยรังเกียจผู้มีความหลากหลายทางเพศนะครับ” ศาสวัตกล่าว
ทั้งนี้ ฤกษ์สินได้กล่าวถึงเพลง แก้วตาดวงใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเพลงนมัสการอันมีเนื้อหากล่าวถึงคุณค่าของมนุษย์แต่ละคนในสายตาของพระเจ้า พระเจ้ารักและตั้งใจปั้นทุกคนอย่างมีเอกลักษณ์และมีความพิเศษในแบบของตัวเองเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า
“พระเจ้ารักคุณแหละ ดังนั้น อย่าสงสัยในความรักของพระเจ้า พระเจ้ารักคุณแม้โลกนี้จะมีคนที่ไม่เข้าใจหรือคนที่เกลียดชังคุณ … โดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียน LGBTQIA+ ที่อาจมีบาดแผลในใจ (Trauma) บางอย่างจากศาสนา ในส่วนของ LGBTQIA+ ทั่วไป แม้สังคมจะเปิดกว้างแต่เชื่อว่าในระดับครอบครัวยังอาจมีพ่อแม่หลายคนที่ยังรับไม่ได้ ผมอยากบอกว่าคุณเป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเสมอ … จงมั่นใจในความรักพระเจ้า เขารักคุณไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอให้คุณรู้ว่าตัวเองมีคุณค่ามาก ๆ และสะท้อนคุณค่านั้นออกมาในการใช้ชีวิตให้ดีที่สุดก็พอครับ”
ฤกษ์สินกล่าว
อ้างอิง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Share this: