Lifestyle Top Stories

หัตถการความงาม กับการรักตัวเองของวัยรุ่น

สำหรับหลายคน 'หัตถการความงาม' ถือเป็นวิธีการแสดงออกถึง ‘การรักตัวเอง’ รูปแบบหนึ่ง ร่วมถอดรหัสถึงเบื้องหลังของการรักตัวเองผ่านการทำหัตถการที่ไม่ได้แค่ได้รับความนิยมในวัยผู้ใหญ่ แต่ยังมีอิทธิพลถึงวัยรุ่น

เรื่อง : ณัฐธิดา คะสีทอง
ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี

ปัจจุบันเทรนด์การดูแลตัวเองผ่านการทำหัตถการความงาม  เช่น การฉีดฟีลเลอร์ และฉีดโบท็อก กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก โดยหัตถการความงาม (Facial Aesthetic Treatments) เป็นกระบวนการใช้เสริมความงามกับใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า มีจุดประสงค์เพื่อดูแลรูปลักษณ์ภายนอกให้ ‘สวยงาม’ ตามแต่บุคคลผู้เข้ารับบริการจะพึงพอใจ จึงอาจกล่าวได้ว่าสำหรับหลาย ๆ คน หัตถการความงามถือเป็นวิธีการแสดงออกถึง ‘การรักตัวเอง’ ในรูปแบบหนึ่ง

เป็นที่น่าสนใจว่า มีเยาวชนสนใจเข้ารับบริการเสริมความงามผ่านการทำหัตถการความงามด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากอายุของคนไข้ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ คลินิกเสริมความงามหลายแห่งจะมีมาตรการให้ผู้ปกครองมาลงนามยินยอมการรักษาร่วมกับคนไข้ อีกทั้งผู้ปกครองต้องเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ร่วมกับคนไข้

นิสิตนักศึกษา ได้พูดคุยกับ ฮารุ (นามสมมติ) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ฮารุ เผยว่า เขาเคยทำหัตถการความงามมาทั้งสิ้น 5 รายการ โดยตอนที่เขาอายุ 14 ปี  ได้ทำหัตถการในรายการฉีดเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) และฉีดฟิลเลอร์ (Filler) บริเวณหน้าแก้มและบริเวณใต้ตา ต่อมาเมื่อเขาอายุ 15 ปี ได้ทำหัตถการในรายการ โบท็อก (Botulinum Toxin Type A) บริเวณกรามและกรอบหน้า ฉีดแฟต (Meso Fat) สลายไขมันที่บริเวณแก้ม และ Pico laser โดยก่อนที่จะเข้าสู่การทำหัตถการความงาม เขาประสบกับปัญหาสิวขึ้นอย่างหนัก และได้เข้ารับการรักษาสิวจนอาการดีขึ้น ต่อมาตัดสินใจทำเลเซอร์เพื่อรักษารอยสิว ประกอบกับการเห็นโปรโมชันของคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ที่มีโปรโมชันหัตถการความงามที่น่าสนใจ ทำให้เขาตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกในขณะกำลังก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือในวัย 14 ปี

“รู้สึกอยากพัฒนาตัวเองครับ เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนที่หน้าตาก็ไม่ได้ดี อยากมีความมั่นใจมากขึ้นก็เลยไปทํา” 

สาเหตุที่ฮารุตัดสินใจก้าวสู่การทำหัตถการ มาจากความต้องการเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ประกอบกับมีความตั้งใจที่จะทำงานในวงการบันเทิงและอยากเข้าคณะนิเทศศาสตร์ในสาขาสื่อสารการแสดง ซึ่งเขาเชื่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทั้งหน้าตาและความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมาย แม้จะมีความกังวลหรือความกลัวในการทำหัตถการอยู่บ้าง แต่ความปรารถนาที่จะมีรูปลักษณ์ที่ตนเองพึงพอใจนั้นกลับมีมากกว่า นอกจากนี้ คุณแม่ของเขายังเปิดกว้างในเรื่องการทำหัตถการ เป็นผู้พาไปรับบริการที่คลินิกและเป็นผู้ลงนามอนุญาต รวมถึงเข้ารับการปรึกษาแพทย์พร้อมกับเขา

“ผมบอกคุณแม่ว่าอยากทํา คุณแม่ก็ไม่ได้ห้าม เหมือนจูงมือไปทําด้วยซ้ำ เหมือนตอนนั้นผมจะไปทํา Pico laser ฮะ แล้วคุณแม่ก็บอกว่าไปทําด้วยกันไหม ผมไปทํากับคุณแม่เลยฮะ”

ก่อนเข้ารับทำหัตถการ ฮารุได้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดผ่านการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตและการดูรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยใช้เวลาในการศึกษานานกว่า 1 – 2 เดือน เนื่องจากราคาการเข้ารับทำหัตถการมีราคาที่ค่อนข้างสูง และ หัตถการแต่ละชนิดมีตัวยาจากหลายยี่ห้อและหลากหลายประเทศ อย่างไรก็ดี ฮารุได้มีการปรึกษาคุณหมอก่อนเข้าทำหัตถการทุกครั้ง โดยคุณหมอเป็นผู้ให้คำแนะนำในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการความงามเพื่อให้เขาสามารถเลือกหัตถการที่แก้ปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้ตรงจุด แม้ในบางครั้งหัตถการที่เขาต้องการทำจะต่างจากหัตถการที่เขาได้รับคำแนะนำจากหมอ

“หลังจากทำแล้วฟินมากเลยฮะ รู้สึกว่ามีความมั่นใจขึ้นมาก แล้วก็ทําให้กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นครับ เพราะเมื่อก่อนผมไม่มีความมั่นใจเลยในใบหน้าของตัวเอง แต่พอผมทํา ผมก็มีความมั่นใจมากขึ้น แล้วก็รู้สึกดีกับตัวเองด้วยครับ” 

หลังจากทำหัตถการ ฮารุยังได้รับคำชื่นชมจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน “ช่วงนี้ดูดีขึ้นนะ ทําอะไรมาหรือเปล่า” “นอนเยอะขึ้นรึเปล่า ดูดีจัง” ซึ่งการที่เขาตอบเพื่อน ๆ ไปว่าทำหัตถการมา ปฏิกิริยาจากเพื่อน ๆ ก็เป็นการตอบรับที่ปกติ ไม่ได้มีการบูลลี่ หรือคำพูดใดที่ทำให้เขาเสียความมั่นใจ ส่งผลให้เขากล้าแสดงออกและเสริมสร้างบุคลิกให้ดีขึ้นและมีเสน่ห์มากขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง ฮารุ เสริมว่า การทำหัตถการค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องปกติสำหรับนักเรียนในช่วงวัยนี้ โดยเพื่อน ๆ ของเขาก็เข้ารับการทำหัตถการด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมประเภทการยกกระชับใบหน้าและทำให้หน้าดูเรียวเล็ก เช่น Ultraformer หรือการฉีดแฟตเพื่อสลายไขมัน 

“ผมอยากให้ตัวเองมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ แต่เป็นตัวเองที่ดีขึ้นครับ” 

สำหรับ ฮารุ การทำหัตถการคือการแก้ไขปัญหาในจุดที่เขากังวล โดยไม่ได้ต้องการที่จะเป็น หรือต้องการที่จะเหมือนดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์คนไหน โดยที่ผ่านมาฮารุได้เข้าทำหัตถการในทุก 6 เดือน เนื่องด้วยหัตถการอย่างโบท็อกจะมีการเสื่อมสลายหรือหมดไปภายในระยะเวลาดังกล่าว

“เราอยากให้ตัวเองสวย แต่ว่าเป้าหมายที่ลึกกว่านั้นคืออยากจะรู้สึกชอบตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่สวยเลยไม่ชอบตัวเอง เลยคิดว่าถ้าเราสวยขึ้นแล้วเราจะรู้สึกชอบตัวเองมากกว่านี้สักนิด”

เจ้าหญิง (นามสมมติ) นักศึกษาชั้นปีที่ 3 เผยถึงสาเหตุของการตัดสินใจเข้าทำหัตถการ โดยเธอเข้ารับบริการเสริมความงามนี้ครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี จากจุดเริ่มต้นที่อยากจะสวยขึ้น ประกอบกับการเห็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่เธอมองว่าสวยผ่านช่องทางออนไลน์  เจ้าหญิงจึงเปรียบเทียบตัวเองกับผู้หญิงคนอื่นทั้งคนในชีวิตจริงและคนในโซเชียลมีเดีย และเมื่อเธอเข้าไปดูในช่องทางโซเชียลมีเดียของผู้หญิงเหล่านั้น ก็พบว่าหลายคนเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงาม

ก่อนหน้านี้เจ้าหญิงได้ลองวิธีการอื่น ๆ ที่เชื่อว่าจะทำให้ตัวเองสวยขึ้นได้ เช่น ออกกําลังกาย ทำการบริหารใบหน้า รวมไปถึงทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่เธอยังรู้สึกว่าวิธีการเหล่านั้นไม่ตอบโจทย์ เพราะความเชื่อที่ว่า ถ้าจะสวยขึ้นได้ เธอต้องมีโครงหน้าที่เปลี่ยนไป คลินิกเสริมความงามจึงกลายเป็นคำตอบ โดยครั้งแรกที่ตัดสินใจทำหัตถการ เธอซื้อแพ็กเกจรวมหัตถการ 3 อย่าง ได้แก่ โบท็อกซ์บริเวณกราม ยกกรอบหน้า และฉีดผิวหน้าให้ผิวกระจ่าง

“พอไปเห็นมาตรฐานความสวยที่คนอื่น ๆ เขาเป็น ก็เริ่มมาเปรียบเทียบว่าเรามีตรงไหนที่ยังไม่เป็นแบบนั้น และเราว่าคลินิกเสริมความงามพวกนี้มันช่วยให้เราตอบโจทย์ที่เราต้องการที่จะเป็นมากขึ้นได้ ก็เลยตัดสินใจทำ” เจ้าหญิงกล่าว

เมื่อถามถึงสภาพแวดล้อมว่ามีผลต่อการตัดสินใจทำหัตถการหรือไม่ เธอกล่าวว่า คนรักที่เธอเคยคบในช่วงเวลานั้นมีผลทำให้ความมั่นใจของเธอลดต่ำลง จากการใช้คําพูดของเขา เช่น การกล่าวว่าเธอไม่ได้ตรงสเปคเขาขนาดนั้นเพราะเขาชอบผู้หญิงตัวผอม หรือการกล่าวว่าเธออ้วนเพราะกินเยอะเกินไป

นอกจากนี้ แม้สังคมเพื่อนของเธอจะไม่ได้วิจารณ์รูปร่างและหน้าตาของเธอโดยตรง แต่พวกเขาวิจารณ์รูปลักษณ์ของตน ซึ่งทำให้เธอนำคำพูดเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง และส่งผลให้เธอไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิม

“เพื่อนพูดถึงตัวเองว่า ‘มึง กูหน้าใหญ่มาก’ ‘กูแก้มใหญ่มาก’ ‘กูอ้วนมาก’ แต่ความจริงเพื่อนผอมกว่าเรามาก สิ่งนี้จึงทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเพื่อนอ้วนแล้ว เราก็คงจะอ้วนมากกว่าแน่ ๆ” 

อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าหญิงจะทำหัตถการโดยการฉีดส่วนที่ต้องการแก้ไขและรู้สึกพอใจในจุดที่ฉีดไปแล้ว แต่เธอกลับเริ่มมองเห็นจุดอื่นที่เป็นปัญหาบนใบหน้า เธอจึงคิดจะปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมว่าเธอควรดำเนินการอย่างไรต่อกับจุดที่เธอยังคงไม่มั่นใจ

เทรนด์ความงาม สู่การเข้าถึงหัตถการความงามที่ง่ายขึ้น

ภาพ พัลลภา ปีติสันต์ รองศาสตราจารย์และหัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

นิสิตนักศึกษา ได้พูดคุยกับ พัลลภา ปีติสันต์ รองศาสตราจารย์และหัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ถึง ‘เทรนด์’ และ ‘กระแส’ ซึ่งทางการตลาดจะมีความหมายที่ต่างกัน โดยเทรนด์จะเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญและให้ความสนใจในระยะยาว ส่วนกระแสจะเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและให้ความสำคัญในระยะสั้น ๆ ซึ่งในเรื่องของความงามนั้นถูกจัดว่าเป็นเทรนด์ ซึ่งเกิดจากการที่ผู้คนหันมาดูแลและให้ความสำคัญกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้ผู้คนทำสิ่งนี้มากขึ้น ทั้งในทางภาพรวม (Holistic) คือการมีสุขภาพดีทั้งภายในภายนอก รวมไปถึงภาพลักษณ์ (Looking) อีกด้วย ดังนั้น เมื่อมีเทรนด์ด้านความงาม ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อ (Demand) และส่งผลให้ความต้องการขาย (Supply) เกิดขึ้นตามมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในธุรกิจ

“ทุกคนกลัวแก่และทุกคนกลัวว่าตัวเองจะดูไม่ดี เพราะฉะนั้นใจความ (Message) ที่คลินิกส่งไป จะเป็นเรื่องการทำให้ผู้บริโภคดูดี ซึ่งเป็นการลบ pain point ที่มีอยู่ในใจของผู้บริโภค”

pain point หรือ ปัญหาที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญอยู่ ถูกหยิบมาใช้ในการทำการตลาด ของการทําหัตถการความงามต่าง ๆ ผ่านประเด็นของการดูแลตัวเองและรักตัวเองอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค 

ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อายุต่ำกว่า 20 ปีคือการส่งเสริมความเชื่อที่ว่า พอเราอายุมากขึ้น การทำหัตถการเสริมความงามจะเป็นสิ่งที่ช้าเกินไป ดังนั้นยิ่งทําเร็วยิ่งดี ซึ่งกลายเป็นสารหลัก (key message) สำคัญในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายนี้

“ในการตลาด จะมีคำว่า ‘ไม่รู้จัก ไม่รัก ไม่ซื้อ’ จึงต้องทําให้คนรู้จักเราก่อน เพราะฉะนั้น การใช้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้บริโภค (KOLs) ทั้งหลายเพื่อประชาสัมพันธ์จึงเป็นกลยุทธ์ที่เป็นที่นิยมมากในคลินิกเสริมความงาม”

การทำการตลาดนั้นให้ความสำคัญกับคำว่า ‘AIDA’ ซึ่งย่อมาจาก Awareness การทำให้คนตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ Interest ทำให้คนสนใจ Desire ทำให้คนปรารถนาที่จะซื้อหรือใช้สินค้าและบริการ และสุดท้ายคือ Action ซึ่งนำไปสู่การซื้อขาย 

การใช้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้บริโภค (KOLs) ช่วยให้คนรู้จักคลินิกเสริมความงามนั้น ๆ ได้ อีกทั้งในบางคลินิกสร้างความน่าเชื่อถือโดยให้แพทย์เป็นผู้ให้ความรู้ คำแนะนำผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เสพสื่อในรูปแบบคลิปสั้นมากขึ้น ส่งผลให้คลินิกเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการทำการตลาดเพราะมีต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ซึ่งกระบวนการนี้อยู่ในขั้นตระหนักรู้ (Awareness) มากไปกว่านั้นยังสามารถดึงความสนใจไปให้ถึงระดับสนใจ (Interest) ได้อีกด้วย 

การทำการตลาดในอุตสาหกรรมนี้สามารถนำผู้ซื้อไปถึงระดับอยากได้ (Desire) ได้ค่อนข้างง่ายเพราะผู้คนอยากเข้ารับบริการอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อให้ไปถึงในระดับการตัดสินใจซื้อ (Action) คลินิกจึงเลือกที่จะทำแคมเปญต่าง ๆ เช่น การทำแพ็คเกจและโปรโมชันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้า ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นคนที่สนใจอยู่แล้วให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วมากยิ่งขึ้น 

พัลลภา กล่าวถึงสาเหตุที่วัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปีกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของคลินิกเสริมความงามว่า กลุ่มวัยรุ่นสนใจเรื่องความสวยความงามและพร้อมจะทดลอง ในขณะที่ผู้ใหญ่หรือคนมีอายุเยอะจะกลัวและกังวลในการลองอะไรใหม่ ๆ  มากไปกว่านั้น วัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้ารับบริการครั้งแรก

“แม้เป้าหมายการทําการตลาดของคลินิกจะเป็นการทำกําไร แต่คลินิกควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผลประกอบการที่ยั่งยืนในระยะยาวของคลินิกเอง”

ปัญหาเรื่อง ‘หน้า’ ที่คนอายุต่ำกว่า 20 ปีเห็นว่าต้องแก้ไข

ภาพ คุณหมอมะเหมี่ยว-พญ.ลักษิกา อาศิรวาทวณิชย์ ผู้ให้บริการหัตถการความงาม และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เจ้าของบัญชี @nothingjustmeowmeow  บนแพลตฟอร์ม TikTok

นิสิตนักศึกษา ได้พูดคุยกับ คุณหมอมะเหมี่ยว-พญ.ลักษิกา อาศิรวาทวณิชย์ ผู้ให้บริการหัตถการความงาม และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เจ้าของบัญชี @nothingjustmeowmeow  บนแพลตฟอร์ม TikTok ถึงเรื่องการเสริมความงามในมุมมองทางการแพทย์ โดย พญ.ลักษิกาเล่าว่า ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มตระหนักรู้เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น เริ่มสังเกตเห็นสิ่งเล็ก ๆ และใส่ใจหลายส่วนของร่างกายมากขึ้น พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่า เทรนด์ความงามในปัจจุบันเน้นที่การเก็บรายละเอียดโดยรวม มากกว่าการเสริมความงามจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งเทรนด์ความงามบริเวณใบหน้าคือทำให้ดูเป็นธรรมชาติ

 ผู้รับบริการแต่ละช่วงวัยมีปัญหาที่อยากแก้ไขต่างกัน หากเป็นช่วงวัยรุ่นมักต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก หรือเป็นทรงตามที่ผู้รับบริการต้องการ ในขณะที่ผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไปจะต้องการลดอายุใบหน้าลงเพื่อชะลอความแก่

พญ.ลักษิกา เผยว่า ปัจจุบันมีคนไข้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้ารับการทำหัตถการค่อนข้างมาก ซึ่งคลินิกมีมาตรการให้ผู้ปกครองเซ็นยอมรับการเข้ารับการรักษาพร้อมคนไข้ อีกทั้งผู้ปกครองต้องเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ร่วมกับคนไข้ด้วย อย่างไรก็ดี พญ.ลักษิกา มีข้อตกลงกับคลินิกว่า เธอจะไม่ทำหัตถการให้คนไข้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี

“ผู้เข้ารับบริการที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมีความคาดหวังในผลลัพธ์สูง เนื่องจากวัยรุ่นมองการทำหัตถการเป็นแพทเทิร์น โดยวัยรุ่นมักมีความเข้าใจว่า ‘หากต้องการให้ใบหน้าเป็นแบบนี้ ต้องทำหัตถการความงามประเภทนี้’ แต่ในความเป็นจริงแม้จะใช้วิธีการที่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์อาจต่างกันได้”

พญ.ลักษิกา กล่าวว่า อีกทั้งระบบของบางคลินิก ที่ใช้ระบบการจองหรือมัดจำเงินมาล่วงหน้า ทำให้คนไข้ตัดสินใจเลือกหัตถการที่ต้องการทำด้วยตนเองโดยยังไม่ผ่านการปรึกษาแพทย์ มากไปกว่านั้นผู้ใช้บริการอาจเชื่อคำโฆษณาที่เกินจริง เช่น การเริ่มฉีดโบท็อกเร็วจะช่วยให้หน้าไม่แก่ อย่างไรก็ตาม การเริ่มฉีดโบท็อกเร็วก็ส่งผลเสียอย่างการดื้อโบท็อกตั้งแต่อายุยังน้อยได้ด้วยเช่นกัน

พญ.ลักษิกา เสริมว่า แม้หมอจะให้คำแนะนำถึงผลลัพธ์ที่คนไข้ต้องการ ว่าไม่อาจสัมฤทธิ์ผลด้วยเหตุผลบางประการ แต่คนไข้หลายคนก็ยืนยันที่จะเข้ารับบริการเนื่องจากมีความต้องการอยากลอง อย่างไรก็ดี พญ.ลักษิกาย้ำว่า “การเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ก่อนทำหัตถการความงาม เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แนะนำให้คนไข้พูดคุยกับคุณหมอก่อนทำการรักษา มากกว่าการเลือกวิธีการรักษาด้วยตัวของคนไข้เอง”

“ไม่อยากให้มองการเข้าคลินิกเป็นเรื่องที่เราจะจำเป็นต้องทําแต่ให้มองเป็นเรื่องการดูแลตัวเอง ซึ่งการดูแลตัวเองสามารถทำได้หลายอย่าง ไม่เพียงแต่การเข้าคลินิกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นออกกําลังกายหรือควบคุมอาหาร ซึ่งเลือกสิ่งที่เราทำแล้วสะดวกใจจะดีกว่านะคะ” พญ.ลักษิกา กล่าวปิดท้าย

ธรรมชาติของวัยรุ่น กับการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น 

ภาพ เขมิกา ยามะรัต รองศาสตราจารย์จากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เขมิกา ยามะรัต รองศาสตราจารย์จากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กไปสู่วัยที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกาย ทั้งรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป เช่น สิวขึ้นที่ใบหน้า มีรอบเดือน เป็นต้น มากไปกว่านั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมและทางสังคม เช่น การย้ายโรงเรียน การเข้ามหาวิทยาลัย การพบปะสังคมใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่คิดมาก วิตกกังวลได้ง่าย และมีพฤติกรรมการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น

เขมิกา กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว มนุษย์จึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งและได้รับการยอมรับจากสังคม ผ่านการมีลักษณะ คุณสมบัติ และพฤติกรรมใด ๆ ตามค่านิยมของสังคมนั้น

วัยรุ่นเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในช่วงวัยเดียวกัน ทั้งกับพี่น้อง เพื่อน และบุคคลสาธารณะ เนื่องจากวัยรุ่นต้องการได้รับการยอมรับจากสังคมเหมือนคนที่เขานำตนเองไปเปรียบเทียบ เช่น ดาราคนหนึ่งมีหน้าตาดีตรงตามมาตรฐานความงาม ซึ่งมาตรฐานความงามเป็นสิ่งที่วัยรุ่นคิดว่า ถ้าเขาสามารถมีรูปร่างหน้าตาตรงตามมาตรฐานนั้นได้ เขาจะได้รับการยอมรับและจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมรวมถึงเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน

“ทุกช่วงวัยต่างเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่วัยรุ่นเป็นวัยที่เปรียบเทียบกับคนอื่นค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและหลาย ๆ อย่างในช่วงวัยนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้วัยรุ่นค่อนข้างต้องการการยอมรับเป็นพิเศษ”

กล่าวคือ ‘การเปรียบเทียบ’ ทำให้วัยรุ่นเห็นว่า ‘เขายังไม่มีอะไรที่คนที่อื่นมี’ และหากเขาสามารถมีสิ่งนั้นได้ จะทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมที่เขาอยู่ ได้รับการยอมรับ และส่งผลให้เขามีความพึงพอใจในตนเอง

ความมั่นใจในตัวเอง พื้นฐานสำคัญในการค้นหาตัวตน

วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่สําคัญ เนื่องจากเป็นวัยที่ต้องสร้างหรือค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองก่อนที่จะเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 

“หากวัยรุ่นสามารถผ่านกระบวนการนี้ไปได้ด้วยดี จะทำให้สามารถมีพื้นฐานในการต่อยอดความเป็นตัวของตัวเองในวัยผู้ใหญ่ต่อไปได้เป็นอย่างดี”

เขมิกา กล่าวว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต โดยความมั่นใจในตัวเองจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งครอบครัว เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญ ในการสร้างความมั่นใจในตนเองแก่วัยรุ่น โดยครอบครัวต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวัยรุ่น สามารถเป็นที่ปรึกษา พูดคุย แลกเปลี่ยนกับวัยรุ่นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างภูมิต้านทานในเรื่องความมั่นใจในตนเองให้กับวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี

“สังคมก็มีส่วนในการสร้างพื้นที่ให้วัยรุ่นสามารถเติบโตมามีความมั่นใจในตนเองได้ ผ่านการทำให้สังคมเป็นพื้นที่ที่สามารถมองถึงความงามในมิติอื่น ๆ รวมถึงสร้างค่านิยมที่ทำให้วัยรุ่นไม่ได้โฟกัสอยู่แต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น”