News Social Issue Top Stories

ใครก็อยากกลับบ้าน : ฟังเสียง “ผู้ย้ายถิ่นฐาน” ชาวเมียนมา กับผลกระทบจากอำนาจเผด็จการ

ชวนสำรวจเรื่องราวของผู้ย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่บีบคั้น ชีวิตที่เหมือนลอยคว้างอยู่ระหว่าง ‘ที่นี่’ และ ‘บ้านเกิด’ ซึ่งกำลังอยู่ในวิกฤติของสงครามและอำนาจเผด็จการ

เขียน-ภาพ : สุรีย์พัศ เมธาไมตรี

ชีวิตประจำวันในเมืองใหญ่ของไทย เรามักเห็นแรงงานชาวเมียนมามากมาย ทั้งในร้านอาหาร ไซต์ก่อสร้าง หรือตลาดสดบ่อยครั้ง พวกเขาเป็นเพียง ‘ฉากหลัง’ ไร้ซึ่งการเหลียวแลในสายตาของใครหลายคน ขณะเดียวกัน คนไทยบางกลุ่มก็ไม่พอใจต่อการมีอยู่ของพวกเขา โดยอาจไม่เคยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของพวกเขาเลยว่าต้อง ‘เผชิญ’ กับสิ่งใดมา

นิสิตนักศึกษา ชวนสำรวจเรื่องราวของผู้ย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่บีบคั้น ชีวิตที่เหมือนลอยคว้างอยู่ระหว่าง ‘ที่นี่’ และ ‘บ้านเกิด’ ซึ่งกำลังอยู่ในวิกฤติของสงครามและอำนาจเผด็จการ 

สถานการณ์ในเมียนมา

วิกฤติทางการเมืองของเมียนในปัจจุบันมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเหตุการณ์รัฐประหารซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 กองทัพเมียนมานำโดย พลเอก มิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนที่นำโดย ออง ซาน ซู จี จากพรรค NLD (National League for Democracy) ก่อนจะควบคุมตัวเธอและนักการเมืองพลเรือนอีกหลายคน โดยอ้างว่าเกิดการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2563 ซึ่งพรรค NLD ชนะถล่มทลาย หลังรัฐประหาร กองทัพประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ยุบรัฐสภา และจับกุมผู้นำทางการเมืองหลัก นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจและสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาย่ำแย่ลงอย่างมาก ส่งผลให้ชาวเมียนมาจำนวนมากย้ายเข้ามาประเทศไทย ทั้งผู้ลี้ภัยสงครามและผู้อพยพจากปัญหาเศรษฐกิจ

จากรายงานของ UNHCR (United Nations High Commissioner for Refugees) ระบุว่า ปี 2562 มีผู้ลี้ภัยประมาณ 90,000 คน อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราว 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลบหนีการสู้รบนับแต่กลางทศวรรษ 1980 ที่ผ่านมา แต่เมื่อปี 2564 การปราบปรามของรัฐบาลทหารเมียนมาทำให้มีประชาชนกว่า 700,000 คน ต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ และอีกหลายหมื่นชีวิตหลบหนีข้ามชายแดนเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และเมื่อกลางปี 2566 มีการรายงานว่าผู้อพยพกว่า 5,000 คน ได้รับการจัดที่พักพิงในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวบริเวณชายแดนไทย แต่ยังมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่ไม่ได้รับการลงทะเบียนและยังคงหลบซ่อนในพื้นที่ป่า​

ขณะที่เศรษฐกิจของเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหลังการรัฐประหาร  ทำให้ค่าเงินจ๊าด (Kyat) ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของประเทศ ลดมูลค่าลงถึงร้อยละ 60 ภายในปีเดียว เกิดการขาดแคลนสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร น้ำมัน และยา ทำให้ชาวเมียนมาจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อความอยู่รอด ทั้งนี้ เมื่อปี 2562-2563 มีการเติบโตของ GDP อยู่ที่ร้อยละ 6.6 แต่เมื่อปี 2564 หลังการเกิดรัฐประหารทำให้การเติบโตดังกล่าวลดลงเป็นอย่างมาก โดยติดลบถึงร้อยละ 12 อันเป็นผลจากการที่หลาย ๆ ประเทศประกาศคว่ำบาตรไม่ทำธุรกิจกับเมียนมา เพื่อประท้วงการกระทำของคณะรัฐประหาร 

ภาพ สมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการ LPN

สมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการ LPN (Labour Protection Network) กล่าวว่า ในช่วงแรกชาวเมียนมาย้ายถิ่นฐานเข้ายังมาประเทศไทยด้วยปัจจัยหลักคือ สภาพเศรษฐกิจ ความยากจน รายได้ที่ไม่เพียงพอ และการไม่มีที่ดินทำกิน แต่หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง ทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนไปจากเดิม ต้องระแวดระวังและประสบปัญหาหลายอย่าง อาทิ การโอนเงิน การเดินทางระหว่างประเทศ และการวางตัวทางการเมือง โดยปัจจัยเร่งล่าสุด คือ การบังคับเกณฑ์ทหาร ร่วมกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้มีผู้อพยพออกนอกประเทศถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด โดยมีทั้งกลุ่มคนยากจน คนมีฐานะ นักศึกษา ครู แรงงานทักษะสูง เช่น หมอ พยาบาล รวมทั้งตำรวจและทหารบางส่วน 

ขณะเดียวกัน ชาวเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ก็มีความรู้สึกกังวลถึงความปลอดภัยต่าง ๆ ของครอบครัวของตนที่ยังอยู่ที่เมียนมา บางคนที่มีลูกระหว่างทำงานและส่งลูกกลับไปเมียนมาเพื่อให้ครอบครัวช่วยดูแล สุดท้ายก็ต้องนำลูกหลานกลับมายังเมืองไทย ทำให้มีทั้งเด็กและเยาวชนเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก

“เมื่อเจอปัญหาจากรัฐประหารก็อยู่ไม่ได้ต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่ไทย ซึ่งเป็นทั้งปลายทางและทางผ่านของเขา บางส่วนก็คงอยากลี้ภัยไปต่างประเทศแต่ยังทำได้ยากอยู่ เมื่อย้ายมาอยู่ประเทศไทยก็ต้องอยู่ให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นกรรมกรหรือสถานะอะไรก็ตาม” สมพงษ์กล่าว

‘คนที่รัก’ ต้องห่างและจากกันไป

เอบี (นามสมติ) ชายวัย 26 ปี อดีตอาสาสมัครองค์กรภาคประชาสังคมแห่งหนึ่ง และว่าที่นักแสดงซีรีส์เมียนมา เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวระหว่างที่เขาอยู่ประเทศไทยในช่วงปี 2565-2567 ว่า ขณะนั้นที่รัฐคะฉิ่นยังมีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างทหารคะฉิ่นและทหารเมียนมา เขาได้รับข่าวว่าน้องชายโดนยิงแต่ไม่สามารถไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ เพราะอาจจะถูกทหารเมียนมาจับกุม แม้สุดท้ายจะมีคนแอบช่วยเหลือเพื่อพาไปทำการรักษาที่โบสถ์ แต่เอบีก็ได้แต่กังวลว่า น้องชายอาจจะเสียชีวิตเพราะไม่สามารถติดต่อได้ เขายังไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่น้องชายได้  ส่งผลให้รู้สึกเสียใจอย่างมากจนไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เกรงว่าจะสร้างความหนักใจให้คนอื่นไปด้วย

นอกจากนั้น เอบียังเป็นห่วงสภาพจิตใจของคนในครอบครัว เนื่องจากหลังรัฐประหารน้องชายก็ไม่ได้ไปโรงเรียน แม่กับพ่อเองก็แยกทางกัน เหตุการณ์ที่สะเทือนใจที่สุดสำหรับเอบี คือ ครั้งที่ทหารทำการระเบิดบ้าน ทำให้ครอบครัวก็ต้องหนีและทิ้งบ้านไป ซ้ำร้ายตอนนี้ก็ยังไม่สามารถติดต่อครอบครัวได้

“ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอะไรกับครอบครัว หลังจากเกิดเหตุรัฐประหารเลยเสียใจที่ไม่สามารถพูดคุยกันได้ ทำให้คิดได้ว่าช่วงที่อยู่ใกล้กัน ต้องพูดคุยความในใจและแสดงความรัก เพราะตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว” เอบีกล่าว

โซ (นามสมมติ) ชายวัย 30 ปี ผู้ประสานงานด้านภาษาเมียนมา (ล่าม) กล่าวว่า ตนเองไม่ได้สูญเสียครอบครัวไปจากเหตุการณ์รัฐประหาร แต่เคยรับฟังเรื่องราวของเพื่อนร่วมงานว่า พวกเขาตั้งใจแยกจากครอบครัวมาทำงานที่ประเทศไทยเพื่อเก็บเงินไปซื้อบ้าน บางคนทำงานกว่า 7-8 ปี แล้ว ยังไม่ทันทำอะไรบ้านก็ถูกไฟไหม้หายไปหมดจากวิกฤติภายในประเทศ ต้องทำงานขณะที่ร้องไห้ไปด้วยทุกวัน ทั้งนี้ ทหารเมียนมาได้เผาที่อยู่อาศัยและนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในพื้นที่ที่มีผู้ต่อต้านรัฐบาล ทำให้ทั้งเมืองเสียหายและมีผู้เสียชีวิตทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา และผู้พิการ 

“บ้านผมไม่สูญเสียอะไรมาก แม้มีระเบิดมาลงบริเวณบ้าน แต่โชคดีที่ไม่มีใครตาย  บางคนโดนฆ่าทิ้งหรือถูกลักพาตัวไป รวมถึงจับเกณฑ์ทหาร ผู้หญิงโดนข่มขืนแล้วถูกฆ่าทิ้งก็มี ซึ่งอันนี้ไม่ได้แต่งเรื่องนะ ชีวิตจริงหนักกว่านี้อีก” โซกล่าว

พอล ชายวัย 29 ปี ผู้จัดการชุมชน (Community Manager) บริษัทเอกชนช่วยจัดหางานให้คนเมียนมาแห่งหนึ่ง เล่าว่า หลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร ครอบครัวของตนเองต้องแยกย้ายกันไปคนละพื้นที่ รวมถึงมีการสูญเสียครั้งใหญ่ คือ การเสียชีวิตของพ่อจากอาการป่วย การรัฐประหารทำให้ไม่สามารถพาพ่อออกไปรักษาในโรงพยาบาลดี ๆ ได้ ต้องนอนทรมานเพื่อรักษาตัวที่บ้าน หากออกไปก็ไม่ปลอดภัย เสี่ยงโดนทหารเมียนมาจับกุม นอกจากนี้น้องสะใภ้ยังฆ่าตัวตาย อาจเพราะเครียดที่ต้องอยู่ห่างกับสามี (น้องชาย) ที่ย้ายมาทำงานที่ไทยเพื่อหารายได้เพิ่ม แต่ก็ยังคงมีรายได้ที่ไม่มากพอ

“ตอนนั้นเสียทั้งพ่อและน้องสะใภ้ การรัฐประหารทำให้ไม่มีอนาคต ไม่รู้พรุ่งนี้จะไปไหน ไม่มีความฝัน ไม่มีเส้นทาง เครียดหลาย ๆ อย่าง ผมสูญเสียหลายอย่างมาก” พอลกล่าว

คะน้า (นามสมมติ) หญิงวัย 28 และ คะนิ้ง (นามสมมติ) หญิงวัย 25 พนักงานบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งแห่งหนึ่ง เล่าว่า พวกเธอย้ายมาประเทศไทยตามสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ปี 2555 เพราะต้องการทำงานที่มีรายได้เพียงพอในการดูแลครอบครัว แม้บริเวณบ้านของทั้งคู่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ แต่การเลือกทำงานที่เมืองไทยก็ทำให้ต้องแยกจากครอบครัวมาเป็นเวลานาน

‘ความฝัน’ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค

เอบี เล่าถึงสาเหตุที่ย้ายมาประเทศไทยว่า ตนเองไม่เคยรู้สึกปลอดภัยตั้งแต่เกิดมาเลย เนื่องจากทหารคะฉิ่นและทหารเมียนมาต่อสู้กันมาตั้งแต่ก่อนเกิดรัฐประหารแล้ว ตนซึ่งเป็นชาวคะฉิ่นและอยู่ในพื้นที่การสู้รบจึงย้ายมาประเทศไทยเพราะใกล้ที่สุด มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับบ้านเกิดและมีความปลอดภัยมากกว่า เอบีรู้สึกว่าที่เมียนมาไม่มีอนาคต เขาจึงได้พยายามติดต่อองค์กรภาคประชาสังคมแห่งหนึ่ง เพื่อขอมาฝึกงานที่ประเทศไทย โดยส่วนตัว เอบีมีความชื่นชอบในภาษาและเพลงไทย จากที่เคยดูรายการประกวดร้องเพลงของไทยตั้งแต่ตอนอยู่ประเทศเมียนมา

เอบี เล่าว่า ตนเองมีความฝันอยาก ‘ทำงานในวงการบันเทิง’ ตั้งแต่เด็ก เพราะชอบการแสดง ร้องเพลง เดินแบบ ทำโฆษณา รวมถึงการเขียนบทหนังสั้น การมาอยู่ไทยทำให้เจอผู้คนและสังคมที่ดี มีคนคอยชื่นชมและช่วยเหลือในสิ่งที่ตนชอบ ต่างกับตอนที่อยู่เมียนมาที่หากบอกเล่าความฝันออกไปก็มักจะโดนว่าและถูกล้อเลียน ชีวิตในไทยจึงช่วยส่งเสริมให้เขากล้าทำตามความฝัน อันที่จริงเอบีกำลังจะได้แสดงซีรีส์ของเมียนมา แต่รัฐบาลทหารกลับมีคำสั่งห้ามถ่ายทำ ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

“ช่วงนั้นมีการรับสมัครนักแสดงซีรีส์ ซึ่งผมก็ผ่านเข้ารอบและรู้สึกดีที่อย่างน้อยแม้ไม่ได้กลับไทยก็ยังได้ทำงานนี้ที่นี่ ทั้งที่เตรียมอ่านบทเสร็จแล้ว แต่โดนแจ้งมาว่าถ่ายไม่ได้แล้ว ลึก ๆ ก็รู้สึกเสียใจมาก” เอบีกล่าว

ด้านโซ เล่าว่า ตนเองย้ายมาประเทศไทยตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศเมียนมาเศรษฐกิจไม่ดี การจะทำตามฝัน เช่น การซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดินนั้นทำได้ยาก จึงมาที่ประเทศไทยซึ่งค่าแรงและสวัสดิการดีกว่า เดิมทีตั้งใจมาทำงานประมาณ 2 ปี แต่กลับกลายเป็น 13 ปีแล้ว

ช่วงแรกโซทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม แต่ระหว่างนั้นก็ได้เรียนรู้ภาษาไทยอย่างต่อเนื่องจนสามารถเป็นล่ามภาษาไทย-เมียนมาได้ในทุกวันนี้ ตำแหน่งงานนี้มีความสำคัญและยังคงเป็นที่ต้องการในระบบแรงงานไทย

โซ เล่าต่อถึงความฝันสูงสุดของตนเองว่า ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่รู้แน่ชัดว่าจะเลือกเส้นทางใดในชีวิต ซึ่งไม่ต่างจากวัยรุ่นส่วนใหญ่ในเมียนมา เนื่องจากการเลี้ยงดู สังคม และระบบการศึกษา ไม่ได้ส่งเสริมให้พวกเขามีความฝันตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนตัวโซเพิ่งเริ่มฝันถึงอนาคตของตนเมื่ออายุได้ 25 ปี คือ หลังจากทำงานที่ไทยมาได้ 4-5 ปี และได้ใช้เฟซบุ๊กทำให้ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นและเห็นข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาเป็นจำนวนมาก โซรู้สึกว่าการศึกษานั้นสำคัญและสามารถเปลี่ยนชีวิตคนหนึ่งคนได้ ต่างกับที่เมียนมาซึ่งการศึกษาเป็นเพียงการแข่งขัน ไม่ได้มีผลกับชีวิตเท่าใด จบไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเพราะไม่ได้มีอาชีพหรือตลาดแรงงานรองรับภายในประเทศ

โซ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ประเทศเมียนมากำลังเข้าสู่ยุคแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ เกิดรัฐบาลที่กำลังจะสร้างการเปลี่ยนแปลงและเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ผู้คนมีความหวังว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตย

ด้วยบริบทดังกล่าว โซจึงสนใจและต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพราะคิดว่าเป็นหนทางที่ตนเองจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ เดิมที ตนเองอยากเป็น ‘คนรวย’ แต่กลับพบว่า “ถ้าโซรวยอยู่คนเดียว แล้วคนทั้งประเทศจะรวยได้อย่างไร” โซจึงสรุปกับตนเองว่า อยากเป็น ‘นักการเมือง’ โดยคิดว่าอำนาจทางการเมือง คือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ผ่านนโยบายหรือวิธีการบริหารประเทศ สามารถช่วยคนจน คนด้อยโอกาส คนที่ตกยากลำบาก ให้พวกเขามีกินมีใช้และยังสามารถทำโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศได้

ดังนั้น โซจึงได้ทำการเรียน กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) และต่อปริญญาตรีรัฐศาสตร์ โดยเมื่อเรียนจบจะได้กลับบ้านไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองที่ชอบ

“รัฐประหารทำให้ความฝันพังหมด แล้วเราจะฝันอะไรได้ล่ะ แต่ก่อนก็ยากอยู่แล้ว อุตส่าห์มีโอกาสเลือกตั้งและโอกาสที่ประเทศจะได้พัฒนา แต่กลับมายึดอำนาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างนี้ เยาวชนก็ไม่กล้าเรียนกับรัฐบาล ส่วนข้าราชการที่ต่อสู้กับทหารก็ลาออก บางคนมีหน้าที่การงานมั่นคงก็ทิ้งทั้งตำแหน่งและการเงิน มาเป็นแรงงานอยู่ประเทศไทยตอนนี้ โอกาสที่มีหรือกำลังจะเกิด รวมถึงความมั่นคงก็พังหมด” โซกล่าว

ด้านพอล เล่าว่า ตนเองตั้งใจย้ายมาประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 เพราะอยากทำงานที่มีรายได้มั่นคง เพื่อที่จะสามารถช่วยส่งเสริมครอบครัวได้ โดยเห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสและอิสระมากกว่า และหากเกิดเหตุอะไรก็ยังเดินทางง่ายเพราะไม่ไกลจากบ้านเกิดมากนัก 

“ผมอยากเป็นดาวที่ส่องแสงนำทางให้คนอื่น อยากช่วยเหลือทุกคนในสิ่งที่ช่วยได้จากความรู้และทักษะที่ตัวเองมี ซึ่งตอนนี้ก็ทำอยู่แต่ยังช่วยไม่ได้มากนัก” พอลกล่าว 

ทั้งนี้ พอลไม่ได้มีอาชีพที่ใฝ่ฝันหรืออยากทำเป็นพิเศษ เขาเพียงแต่ต้องการให้ความช่วยเหลือและให้ความรู้กับผู้คน เพราะการรัฐประหารที่เกิดขึ้น ทำให้คนเมียนมาจำนวนไม่น้อยไร้เป้าหมาย ไม่มีเส้นทางเดินต่อไป ต่างเพียงแค่พยายามมีชีวิตรอด ไม่มีโอกาสเลือกในสิ่งที่อยากเป็นจริง ๆ

ส่วนคะน้าและคะนิ้งนั้นต่างต้องการเป็นครูตั้งแต่เด็ก เพราะอยากแบ่งปันความรู้ที่ตนเองมีให้ผู้อื่น และตอนนี้ทั้งคู่กำลังศึกษา กศน.ในประเทศไทย จึงยังไม่พบอุปสรรคโดยตรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้

“อยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก เพราะอยากแบ่งปันความรู้ที่ตัวเองมีให้คนอื่นรู้ด้วยเช่นกัน ทำงานกับเพื่อน (คะน้า) มาด้วยกันนานมากแล้ว เรามีความฝันเหมือนกัน” คะนิ้งกล่าว 

‘ความหวัง’ หวนคืนและฟื้นฟูแผ่นดินแม่

เอบี กล่าวถึงความหวังที่มีต่อสถานการณ์ในเมียนมาว่า หากรัฐบาลทหารมีความเข้าใจและความเคารพ ในความเท่าเทียม ก็จะสามารถยุติวิกฤตินี้ได้ แม้ตนเองจะสนับสนุนการต่อสู้ของฝั่งประชาชน สุดท้ายถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เหตุการณ์นี้จบลง  

ทั้งนี้ หากเป็นดังที่หวัง สิ่งแรกที่เอบีจะทำ คือ กลับบ้านไปหาครอบครัวและเพื่อน และอยากช่วยพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘ระบบการศึกษา’ เพราะตอนนี้น้องทั้งสองคนไม่ได้เรียนแล้ว 

ด้านโซ กล่าวว่า ทุกวันนี้ตนเองก็ยังสรุปไม่ได้ว่าทางออกของวิกฤตินี้จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ทำได้เพียงรอดูสถานการณ์ไปก่อน เนื่องจากโซเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดยั่งยืนตลอดไป วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็จะมาถึง อะไรที่พังไปแล้วยังเริ่มต้นใหม่ได้ เหมือนกับประเทศเมียนมาที่ตอนนี้ยังดูสิ้นหวัง แต่ในอนาคตจะต้องมีโอกาสที่ไม่น้อยหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ แน่นอน 

โซยังหวังว่าสถานการณ์ความขัดแย้งนี้จะจบลง โดยที่ประชาชนและรัฐบาลทหารไม่ต้องฆ่าฟันกันอีก เพราะสุดท้ายถ้าทุกคนเอาแต่ทำร้ายกัน ประเทศก็จะไม่เหลือใคร จึงอยากให้ทุกฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน รับผิดชอบในส่วนที่แต่ละฝ่ายทำไว้ เหตุการณ์นี้จึงจะจบโดยไม่มีรอยร้าวหรืออคติใดต่อกัน และประเทศจะสามารถพัฒนาต่อได้ 

ด้านพอลกล่าวถึงความหวังภายใต้วิกฤตินี้ว่า ถ้าเป็นไปได้ตนเองก็อยากมีอำนาจ เพราะจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างและแก้ไขเรื่องนี้ได้ โดยจะทำให้สถานการณ์สิ้นสุดลง ไม่ต้องฆ่า เอาเปรียบ และไม่เข้าใจกัน ทั้งยังสามารถวางแผนพัฒนาประเทศต่อไปได้ ตอนนี้รัฐบาลจากการรัฐประหารมีอำนาจแต่ใช้ในวิธีที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนไม่มีอำนาจที่จะทำอะไร

พอล กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ตนยังไม่อยากกลับประเทศเมียนมา เพราะกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และการอยู่ที่เมืองไทยยังได้ส่งเสริมคนที่อยากช่วยเหลือได้หลาย ๆ เรื่อง 

“แต่ถ้าถามว่าอยากกลับไปไหม ก็อยากกลับไป การมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเรา เราแค่มาอยู่อาศัยชั่วคราว ทำงาน ท่องเที่ยว ใช้ชีวิตหาเงินหาทองแค่นี้ เรามาจากไหนเราก็ต้องกลับไปที่นั่นอยู่แล้ว” พอลกล่าว

ด้านคะน้าและคะนิ้งก็อยากกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวที่ประเทศเมียนมา และอยากให้เหตุการณ์ความขัดแย้งจบลงเพื่อที่ทุกคนจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้ เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์นี้มีความรุนแรงมากจนเกิดการฆ่ากัน โดยที่หากพวกเธอสามารถช่วยเหลืออะไรได้ก็จะทำ

“อยากให้เหตุการณ์ความไม่สงบจบลงอย่างมีความสุข อะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วย ไม่อยากให้ใครไม่มีบ้านอีก อยากให้ทุกคนมี (ชีวิต) อย่างเราที่ยังสงบดี อยากให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติ มันรุนแรงมากที่มีการฆ่ากัน” คะนิ้งกล่าว

‘ความช่วยเหลือ’ ในฐานะเพื่อนมนุษย์

สมพงษ์ กล่าวว่า แรงงานย้ายถิ่นที่เข้ามาเมืองไทย ล้วนมาเพื่อหาสิ่งที่ดีกว่า โดยพวกเขาต้องการทำงานที่มีรายได้มั่นคงเป็นหลัก เพื่อจะได้ส่งเงินกลับบ้านหรือเลี้ยงชีพให้มีปัจจัยสี่เหมือนคนทั่วไป ในฐานะมนุษย์พวกเขามีสิทธิในการเคลื่อนย้ายไปประเทศอื่นอยู่แล้ว แต่พวกเขามักถูกแสวงหาผลประโยชน์จากคนรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะ ‘ผู้หลบหนีเข้าเมือง’ ซึ่งอาจจะถูกเข้าไปสู่วังวนของการเป็นแรงงานบังคับและการค้ามนุษย์

LPN จึงช่วยให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้ เช่น การศึกษา สถานะบุคคล สิทธิทางร่างกายในกรณีที่ถูกละเมิดอนาจารทางเพศ รวมถึงกลไกการปกป้องคุ้มครองสิทธิที่พึงมีพึงได้ในประเทศไทย โดยมีศูนย์ให้คำปรึกษาด้านแรงงาน (Labour Center) เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำผ่านล่าม ให้ความรู้เรื่องการละเมิดสิทธิทางร่างกาย สิทธิแรงงาน แรงงานทาส หรือการตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ทั้งยังสร้างพื้นที่ปลอดภัยโดยการสร้างศูนย์อบรมเพื่อให้พวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้ และหากเป็นเด็กหรือเยาวชนก็จะช่วยส่งเสริมการศึกษา ทั้งในและนอกระบบเพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่พวกเขา

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ LPN ให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นชาวเมียนมา อาทิ การช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาในชีวิตประจำวันต่าง ๆ  การจัดหาที่พักพิงชั่วคราว  รวมถึงการรณรงค์เชิงนโยบายผ่านสื่อ (Advocacy Media) โดยสื่อสารในรูปแบบสารคดีและการสอบสวน ผ่านทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ เพื่อให้สังคมตระหนัก เห็นใจ และชี้นำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ LPN ยังทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อรับมือสถานการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นและปรากฏการณ์ที่น่าสนใจต่าง ๆ

‘คนไทย’ และ ‘คนเมียนมา’ ต่างพึ่งพาอาศัยกัน

สมพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทยบางกลุ่มกำลังสร้างวาทกรรมที่ทำให้เกิดความเกลียดชังต่อชาวเมียนมา ด้วยการอ้างค่านิยมของความเป็นไทยหรือความเป็นชาตินิยม โดยที่พวกเขาไม่ได้พยายามทำความเข้าใจปัญหาที่พี่น้องแรงงานเมียนมาได้เผชิญจากประเทศต้นทางจนมาอยู่เมืองไทย ซึ่งพวกเขาจะต้องทำงานอดมื้อกินมื้อเพื่อให้มีชีวิตในแต่ละวัน คนไทยเหล่านี้จึงมีแต่มุมมองด้านลบที่มองจากภายนอกเท่านั้น

“คุณไม่รู้ว่าที่ผ่านมาประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างไร คุณไม่รู้เลยว่าคนรวยปัจจุบันรวยมาจากเรี่ยวแรงใคร คุณไม่รู้เลยว่าปลาหรือกุ้งหนึ่งตัวที่ฉันกินมาจากเรี่ยวแรงใคร คุณไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ มันก็เลยทำให้คุณไม่ได้สนใจกฎหมาย ไม่ได้สนใจอะไรที่พัฒนาการมา มองแต่ว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้และพวกเขาจะมาแย่งทุกอย่างไป” สมพงษ์กล่าว

สมพงษ์ กล่าวต่อว่า เกือบกึ่งศตวรรษแล้วที่ชาวเมียนมาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย สร้างคุณค่าประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประเทศอย่างมากมาย ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีคนทำงานที่เสี่ยง อันตราย และสกปรก อาทิ กรรมกรก่อสร้าง แรงงานประมง แรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การที่แรงงานเมียนมาไม่มีทางเลือกมากนักจึงสามารถทำงานเหล่านี้แทนพวกเราได้ โดยเฉพาะในยามที่บ้านเกิดของพวกเขากำลังเผชิญวิกฤติ 

“ที่ผ่านมาเราก็ต้องยอมรับว่าเราปฏิเสธเขาไม่ได้จริง ๆ แล้วประเทศไทยก็ยากลำบาก ผู้ประกอบการก็หาคนงานไม่ได้ ส่วนพวกเขาก็ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีรายได้ และยากจน สุดท้ายต่างคนต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน” สมพงษ์กล่าว

อ้างอิง