“สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลมันควรจะเป็นสิทธิของประชาชนทุกคน”
ต่วนอาลียา นิยามาร์
เสียงสะท้อนจากเยาวชนที่ตั้งคำถามว่า ตลอดระยะเวลาที่เธอเติบโตมาในพื้นที่ชายแดนใต้ เธอรู้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรุนแรงในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน
หนึ่งในแนวทางที่อาจนำไปสู่ทางออกของความรุนแรงในพื้นที่ คือการเปิดเวทีรับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่เยาวชนในสามจังหวัดจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร หากยังถูกปิดกั้นข้อมูลและข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกับประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน อย่างประเด็นศาสนาและชาติพันธุ์ เยาวชนรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระและไม่มั่นใจว่าเขาจะถูกคุกคามจากการตั้งคำถามหรือไม่
เราแค่ต้องการพูดมันอย่างตรงไปตรงมา
นูรดีน สาแล๊ะ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ นักกิจกรรมกลุ่มขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ วัย 20 ปี ที่เกิดและเติบโตที่จังหวัดยะลา นูรดีนเล่าว่าบางครั้งเวลาเขาพูดคุยเรื่องการเมืองทั้งในระดับประเทศและระดับชายแดนใต้กับเพื่อนที่ไม่ได้สนใจประเด็นการเมืองเป็นพิเศษ เพื่อนมักจะไม่เข้าใจ เพราะยังติดอยู่กับภาพจำความรุนแรงและความไม่สงบในพื้นที่ที่ถูกผลิตซ้ำโดยทั้งสื่อและหน่วยด้านงานความมั่นคง
นูรดีนรู้สึกว่าการวิจารณ์ประเด็นอ่อนไหวในจังหวัดชายแดนใต้เป็นเรื่องยาก เพราะวิจารณ์ไม่ว่าจะวิจารณ์ฝ่ายใด ก็จะถูกผู้สนับสนุนของฝ่ายนั้นโจมตี เช่น เมื่อวิจารณ์ว่ารัฐเป็นผู้ทำให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ ก็อาจถูกโจมตีจากผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล ในขณะที่ถ้าวิจารณ์วิธีการปลูกฝังจิตสำนึกในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ก็อาจโดนโจมตีจากฝั่งที่สนับสนุนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN)
“เราแค่อยากได้จุดตรงกลาง ความต้องการของเราก็เรื่องหนึ่ง แต่เราแค่ต้องการพูดมันตรงไปตรงมาได้”
หลายครั้งเขาเองก็ถูกดำเนินคดีทางการเมืองจากการแสดงความเห็นหรือวิจารณ์ประเด็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาและถูกเจ้าหน้าที่สอดส่องเวลาทำกิจกรรมที่ภาครัฐมองว่ากระทบต่อความมั่นคง
นูรดีนมองว่าปัญหาเรื่องการเข้าถึงข้อมูลในชายแดนจะแก้ไขได้ หากทำให้การแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้เป็นเรื่องปกติ
“แต่ก่อนการใช้คำว่าปาตานีหรือมลายูก็ถูกมองว่าล่อแหลม แต่พอใช้เยอะ ๆ ตอนนี้ก็ถูกมองว่าเป็นคำปกติไปแล้ว เราแค่ต้องผลักเพดาน รณรงค์ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ผิด หรือถ้าคิดว่าผิดก็แลกเปลี่ยนกัน ผมคิดว่าการแก้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้ เพราะคนแบบผมไม่ได้มีคนเดียว”
นูรดีน สาแล๊ะ
ทำไมต้องปิดกั้น
ต่วนอาลียา นิยามาร์ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ วัย 21 ปีเล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอไม่ค่อยรับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดนใต้ ที่พอจะรู้บ้างก็คือเรื่องรัฐนิยมที่โรงเรียนเล่าเพื่อปลูกฝังให้เห็นถึงคุณค่าของการใส่ฮิญาบ จากที่ในอดีตรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้ใส่ผ้าคลุมศีรษะ
ต่วนอาลียาเข้าใจว่าตนเองได้รับข้อมูลเพียงพอแล้วมาตลอด จนกระทั่งเธอได้เข้าร่วมกิจกรรมชมรมเพื่อทำความเข้าใจบริบทในพื้นที่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว “เราได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้ว ที่เรารู้คือน้อยลงไปเลย ด้วยความที่เราอยู่ในเมืองใช่มั้ย เราก็จะแบบพอเรารู้อะไร ก็คือเราจะรู้น้อยๆ เราจะรู้ว่า สรุปแล้วคนบาดเจ็บกี่คน ตายกี่คน แต่ในระหว่างเหตุการณ์เราไม่รู้อะไรมาก”
อย่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบ เมื่อปี 2547 ที่มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมและเสียชีวิตระหว่างถูกเคลื่อนย้ายจำนวน 78 คน เธอก็ไม่ได้รู้ข้อมูลมากนัก จึงไม่ได้รู้สึกสลดใจ จนกระทั่งเพื่อนของเธอที่ครอบครัวอยู่ในเหตุการณ์เล่าเรื่องราวในวันนั้นให้ฟัง เธอถึงเข้าใจว่า การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐมีความรุนแรง
“ตอนแรกเราโทษตัวเองว่าทำไมเราเป็นคนที่ปิดกั้น ทำไมไม่ข้อมูลหาอีกสักนิด แต่ความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลมันก็ไม่ได้มีเยอะ ถึงมีมันก็ไม่ได้บอกละเอียด แต่ตอนที่เพื่อนเราเล่าคือ เขาอยู่ในบ้าน พ่อเขาอยู่ข้างนอก เขารู้สึกว่าพ่อเขาจะได้กลับมามั้ย เราฟังเพื่อนเรา เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ในสถานการณ์เอง… ทำไมเค้าถึงต้องปิดกั้น เป็นคำถามอยู่ในหัวตลอดเวลา”
ต่วนอาลียา นิยามาร์
ประวัติศาสตร์ควรเป็นเรื่องที่พูดคุยได้
มูฮัมหมัดชามัล เจะเฮาะ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ วัย 20 ปี เกิดที่ปัตตานีและเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่ยะลา มูฮัมหมัดชามัล เล่าว่าตอนแรกเขาตั้งใจปิดกั้นตนเอง ไม่กล้าศึกษาประวัติศาสตร์เพราะกลัวว่าเมื่อรู้แล้วจะสร้างผลกระทบทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม เขาเปลี่ยนความคิดหลังจากที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างประเทศ แล้วจึงกลับมาตั้งคำถามกับว่า ทำไมตัวเองถึงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างประเทศ แต่ยังไม่เปิดใจอ่านหนังสือที่สอดคล้องกับการเมืองการปกคลองในพื้นที่สามจังหวัด
หลังจากนั้น มูฮัมหมัดชามัล จึงไปลงเรียนวิชาในรั้วมหาวิทยาลัยที่สอนด้านการเมืองการปกครองของสามจังหวัดภาคใต้เพราะเขามองว่า หากอยากเป็นนักปกครองในท้องที่ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน เพื่อเข้าใจบริบทของพื้นที่ แต่ก็เจออุปสรรค เวลาเขาอยากรู้บางเรื่องแล้วไปถามไถ่คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
“การหาคนที่จะบอกเราตรง ๆ มันยาก ถ้าเราถาม เขาก็จะถามกลับว่าเราเป็นใคร ถามทำไม เขากลัวว่าเราจะเอาข้อมูลไปเผยแพร่ แล้วมันไปอ้างอิงชื่อเขา จะทำให้เขาเสียชื่อเสียงหรืออาจโดนดำเนินคดี” มูฮัมหมัดชามัล ยกตัวอย่างกรณีที่มีประชาชนในพื้นที่โดนดำเนินคดีจากการตั้งวงคุยเรื่องประวัติศาสตร์ เพราะเข้าใจว่าพวกเขาต้องการแบ่งแยกดินแดน
“ควรจะให้เสรีภาพในการพูดคุยประวัติศาสตร์ ให้ทุกคนมีพื้นที่ในการพูดคุย อย่าถึงขั้นที่เขาพูดแล้ว เขาถูกมองว่าเป็นกบฏหรือบอกว่าเป็นทรราช”
มูฮัมหมัดชามัล เจะเฮาะ
กระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องของทุกคน
“เมื่อก่อน แทบไม่มีความหวังกับกระบวนการสันติภาพ เราเข้าใจว่าเป็นเรื่องของ 2 ตัวละครหลัก คือรัฐไทย กับ BRN เราก็คุยกับเพื่อนแบบไม่มีความรู้ เพื่อนบอกอะไรเราก็เชื่อหมด แล้วพอเราเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ได้ลองตั้งคำถามว่าเหตุการณ์จริง ๆ”
ฮายาตี โต๊ะเย็ง
ฮายาตี โต๊ะเย็ง นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ วัย 22 ปี เล่าว่าในอดีตเธอก็เคยมีความสนใจเรื่องของประวัติศาสตร์ในพื้นที่ และศึกษารากเหง้าของปัญหา แต่ไม่ได้สนใจประเด็นเรื่องกระบวนการสันติภาพมากนัก จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสเข้าร่วมสนทนาในวงคุยของ IPPU Youth (Insider Peace building Platform) และร่วมโครงการของมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (Peace Resource Collaborative Foundation – PRC)
“พอได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ หลังจากนั้นก็เข้าหาวงคุยบ่อยๆ เพราะเราให้ความสนใจมาก เราเลยเข้าใจว่าสันติภาพมันไม่ใช่เรื่องของแค่ 2 ตัวแสดงเท่านั้น มันเป็นเรื่องของทุกคน คนนอกพื้นที่ที่ไม่ใช่ 3 จังหวัด เขาเองก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับในพื้นที่เหมือนกัน”
“เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่มันคุยได้ เราไม่ได้โตมาในแวดล้อมที่ถูกกดขี่ ว่าเราห้ามพูดเรื่องนี้ในพื้นที่นี้ เราน่าจะโตมาช้ากว่าผู้ใหญ่ที่ห้ามคุยเรื่องเอกราช ตอนนั้นเราเด็กเราเลยไม่รับรู้ พอเราโตขึ้นเราเลยเข้าใจว่าเขาโดนอะไรมา ที่เราไม่กลัวเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ก้าวร้าว นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องยกเพดานให้มันพูดคุยกันได้”
เสียงสะท้อนจากเยาวชนที่ตั้งคำถามว่า ตลอดระยะเวลาที่เธอเติบโตมาในพื้นที่ชายแดนใต้ เธอรู้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรุนแรงในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน
หนึ่งในแนวทางที่อาจนำไปสู่ทางออกของความรุนแรงในพื้นที่ คือการเปิดเวทีรับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่เยาวชนในสามจังหวัดจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร หากยังถูกปิดกั้นข้อมูลและข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกับประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน อย่างประเด็นศาสนาและชาติพันธุ์ เยาวชนรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระและไม่มั่นใจว่าเขาจะถูกคุกคามจากการตั้งคำถามหรือไม่
เราแค่ต้องการพูดมันอย่างตรงไปตรงมา
นูรดีน สาแล๊ะ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ นักกิจกรรมกลุ่มขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ วัย 20 ปี ที่เกิดและเติบโตที่จังหวัดยะลา นูรดีนเล่าว่าบางครั้งเวลาเขาพูดคุยเรื่องการเมืองทั้งในระดับประเทศและระดับชายแดนใต้กับเพื่อนที่ไม่ได้สนใจประเด็นการเมืองเป็นพิเศษ เพื่อนมักจะไม่เข้าใจ เพราะยังติดอยู่กับภาพจำความรุนแรงและความไม่สงบในพื้นที่ที่ถูกผลิตซ้ำโดยทั้งสื่อและหน่วยด้านงานความมั่นคง
นูรดีนรู้สึกว่าการวิจารณ์ประเด็นอ่อนไหวในจังหวัดชายแดนใต้เป็นเรื่องยาก เพราะวิจารณ์ไม่ว่าจะวิจารณ์ฝ่ายใด ก็จะถูกผู้สนับสนุนของฝ่ายนั้นโจมตี เช่น เมื่อวิจารณ์ว่ารัฐเป็นผู้ทำให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ ก็อาจถูกโจมตีจากผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล ในขณะที่ถ้าวิจารณ์วิธีการปลูกฝังจิตสำนึกในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ก็อาจโดนโจมตีจากฝั่งที่สนับสนุนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN)
“เราแค่อยากได้จุดตรงกลาง ความต้องการของเราก็เรื่องหนึ่ง แต่เราแค่ต้องการพูดมันตรงไปตรงมาได้”
หลายครั้งเขาเองก็ถูกดำเนินคดีทางการเมืองจากการแสดงความเห็นหรือวิจารณ์ประเด็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาและถูกเจ้าหน้าที่สอดส่องเวลาทำกิจกรรมที่ภาครัฐมองว่ากระทบต่อความมั่นคง
นูรดีนมองว่าปัญหาเรื่องการเข้าถึงข้อมูลในชายแดนจะแก้ไขได้ หากทำให้การแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้เป็นเรื่องปกติ
ทำไมต้องปิดกั้น
ต่วนอาลียา นิยามาร์ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ วัย 21 ปีเล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอไม่ค่อยรับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดนใต้ ที่พอจะรู้บ้างก็คือเรื่องรัฐนิยมที่โรงเรียนเล่าเพื่อปลูกฝังให้เห็นถึงคุณค่าของการใส่ฮิญาบ จากที่ในอดีตรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้ใส่ผ้าคลุมศีรษะ
ต่วนอาลียาเข้าใจว่าตนเองได้รับข้อมูลเพียงพอแล้วมาตลอด จนกระทั่งเธอได้เข้าร่วมกิจกรรมชมรมเพื่อทำความเข้าใจบริบทในพื้นที่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว “เราได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้ว ที่เรารู้คือน้อยลงไปเลย ด้วยความที่เราอยู่ในเมืองใช่มั้ย เราก็จะแบบพอเรารู้อะไร ก็คือเราจะรู้น้อยๆ เราจะรู้ว่า สรุปแล้วคนบาดเจ็บกี่คน ตายกี่คน แต่ในระหว่างเหตุการณ์เราไม่รู้อะไรมาก”
อย่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบ เมื่อปี 2547 ที่มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมและเสียชีวิตระหว่างถูกเคลื่อนย้ายจำนวน 78 คน เธอก็ไม่ได้รู้ข้อมูลมากนัก จึงไม่ได้รู้สึกสลดใจ จนกระทั่งเพื่อนของเธอที่ครอบครัวอยู่ในเหตุการณ์เล่าเรื่องราวในวันนั้นให้ฟัง เธอถึงเข้าใจว่า การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐมีความรุนแรง
ประวัติศาสตร์ควรเป็นเรื่องที่พูดคุยได้
มูฮัมหมัดชามัล เจะเฮาะ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ วัย 20 ปี เกิดที่ปัตตานีและเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่ยะลา มูฮัมหมัดชามัล เล่าว่าตอนแรกเขาตั้งใจปิดกั้นตนเอง ไม่กล้าศึกษาประวัติศาสตร์เพราะกลัวว่าเมื่อรู้แล้วจะสร้างผลกระทบทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม เขาเปลี่ยนความคิดหลังจากที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างประเทศ แล้วจึงกลับมาตั้งคำถามกับว่า ทำไมตัวเองถึงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างประเทศ แต่ยังไม่เปิดใจอ่านหนังสือที่สอดคล้องกับการเมืองการปกคลองในพื้นที่สามจังหวัด
หลังจากนั้น มูฮัมหมัดชามัล จึงไปลงเรียนวิชาในรั้วมหาวิทยาลัยที่สอนด้านการเมืองการปกครองของสามจังหวัดภาคใต้เพราะเขามองว่า หากอยากเป็นนักปกครองในท้องที่ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน เพื่อเข้าใจบริบทของพื้นที่ แต่ก็เจออุปสรรค เวลาเขาอยากรู้บางเรื่องแล้วไปถามไถ่คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
“การหาคนที่จะบอกเราตรง ๆ มันยาก ถ้าเราถาม เขาก็จะถามกลับว่าเราเป็นใคร ถามทำไม เขากลัวว่าเราจะเอาข้อมูลไปเผยแพร่ แล้วมันไปอ้างอิงชื่อเขา จะทำให้เขาเสียชื่อเสียงหรืออาจโดนดำเนินคดี” มูฮัมหมัดชามัล ยกตัวอย่างกรณีที่มีประชาชนในพื้นที่โดนดำเนินคดีจากการตั้งวงคุยเรื่องประวัติศาสตร์ เพราะเข้าใจว่าพวกเขาต้องการแบ่งแยกดินแดน
กระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องของทุกคน
ฮายาตี โต๊ะเย็ง นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ วัย 22 ปี เล่าว่าในอดีตเธอก็เคยมีความสนใจเรื่องของประวัติศาสตร์ในพื้นที่ และศึกษารากเหง้าของปัญหา แต่ไม่ได้สนใจประเด็นเรื่องกระบวนการสันติภาพมากนัก จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสเข้าร่วมสนทนาในวงคุยของ IPPU Youth (Insider Peace building Platform) และร่วมโครงการของมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (Peace Resource Collaborative Foundation – PRC)
“พอได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ หลังจากนั้นก็เข้าหาวงคุยบ่อยๆ เพราะเราให้ความสนใจมาก เราเลยเข้าใจว่าสันติภาพมันไม่ใช่เรื่องของแค่ 2 ตัวแสดงเท่านั้น มันเป็นเรื่องของทุกคน คนนอกพื้นที่ที่ไม่ใช่ 3 จังหวัด เขาเองก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับในพื้นที่เหมือนกัน”
“เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่มันคุยได้ เราไม่ได้โตมาในแวดล้อมที่ถูกกดขี่ ว่าเราห้ามพูดเรื่องนี้ในพื้นที่นี้ เราน่าจะโตมาช้ากว่าผู้ใหญ่ที่ห้ามคุยเรื่องเอกราช ตอนนั้นเราเด็กเราเลยไม่รับรู้ พอเราโตขึ้นเราเลยเข้าใจว่าเขาโดนอะไรมา ที่เราไม่กลัวเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ก้าวร้าว นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องยกเพดานให้มันพูดคุยกันได้”
Share this: