เรื่อง-ภาพ : โยษิตา สินบัว
‘ตั้ม’ เจ้าของร้านบายศรีเล็ก ๆ ท้ายตลาดยอดพิมาน ในย่านปากคลองตลาด เล่าประสบการณ์ทำงานบายศรี งานฝีมือที่ดูไม่ยากแต่ต้องอาศัยความปราณีตและละเอียด ย้อนมองช่วงซบเซาจากการระบาดของโควิด-19 ช่วงฟื้นฟูจากกระแสถ่ายรูปสะพานเขียว และอนาคตของงานบายศรี
“มันอยู่คู่กับคนไทยทุกเทศกาล… พอนึกถึงดอกไม้ก็จะนึกถึงที่นี่ คำว่าปากคลองตลาด นึกถึงที่นี่อย่างเดียว จะเป็น จะตาย ก็อยู่ที่นี่หมด”
“ตั้ม-ชยพล สุวิเศษ” อายุ 34 ปี เจ้าของร้าน “บายศรี by ตั้ม” ในตลาดยอดพิมานกล่าว เขาบอกว่า พื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางการค้าส่งดอกไม้และพืชผักเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งขายงานฝีมือดอกไม้เพื่อนำไปใช้ในทุกวาระสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น งานบุญ งานแต่ง หรืองานศพ
ชยพล สุวิเศษ เจ้าของร้าน “บายศรี by ตั้ม”
ท่ามกลางร้านขายพวงมาลัย ดอกไม้สด และบายศรีมากมายในปากคลองตลาด หากเดินลึกเข้าไปด้านในสุดของตลาดยอดพิมาน จะพบโต๊ะขนาด 2 เมตร พร้อมป้ายเมนูอาหารอีสานแปะอยู่ ซุ้มเล็ก ๆ นี้ไม่ได้ขายส้มตำตามป้ายที่เขียนไว้ แต่เป็นร้านรับผลิตงานฝีมือจากดอกไม้ชื่อว่า ‘ร้านบายศรี by ตั้ม’
บายศรี by ตั้ม มีชายเจ้าของชื่อเดียวกับร้านเป็นผู้ดูแลตั้งแต่การคุยกับลูกค้า รับออเดอร์ ผลิตงานตามความต้องการของลูกค้า แก้งาน และจัดส่ง บางครั้งก็มีแฟนมาช่วยดูแลความเรียบร้อยของงานหรือช่วยดูแลเพจให้ ปกติตั้มรับทำบายศรี 2 แบบ คือ บายศรีปากชามและบายศรีต้น
บายศรีปากชาม โดย บายศรี by ตั้ม
บายศรีปากชาม เป็นบายศรีรูปแบบมาตรฐานและมีขนาดเล็ก ทำจากใบตองม้วนเป็นรูปกรวยคว่ำไว้กลางชามหรือพานโดยให้ยอดแหลมของกรวยอยู่ข้างบน รอบกรวยประดับด้วย ‘นมแมว’ เป็นใบตองพับทบกันไปมารูปแหลมเรียว ระหว่างนมแมวจะมีพื้นที่สำหรับใส่ดอกไม้ อาหาร หรือธูปเทียน มักใช้เป็นเครื่องบวงสรวงเทวดา งานบุญ และงานมงคลขนาดเล็ก เช่น การตั้งหรือถอนศาลพระภูมิ การบูชาครู บูชาพระ เป็นต้น บายศรีประเภทนี้มักขายดีช่วงก่อนวันพระ
บายศรีต้น โดย บายศรี by ตั้ม
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
ส่วน บายศรีต้น เป็นบายศรีขนาดใหญ่ ไม่กำหนดจำนวนชั้นหรือรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน ตั้มจะรับงานพร้อมออกแบบให้มีความแตกต่างและปราณีตตามความต้องการของลูกค้า ส่วนใหญ่มักใช้เป็นเครื่องบูชาเทพตามลัทธิพราหมณ์หรืองานมงคลขนาดใหญ่ เช่น งานสักการะเทพเจ้าชั้นพรหม ทำขวัญบวชนาค สู่ขวัญแต่งงาน งานไหว้ครูช่าง
ประเภทของบายศรี
บายศรี แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- บายศรีของหลวง ใช้ในพระราชพิธีอันเกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ มีรูปแบบค่อนข้างชัดเจน สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ชนิด คือ บายศรีต้น บายศรีแก้ว ทอง เงิน และบายศรีตองรองทองขาว
- บายศรีของราษฎร ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ของราษฎร มีรูปแบบแตกต่างกันตามวาระและพื้นที่ คือ บายศรีปากชามและบายศรีต้น
ที่มา: สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน (2556)
แรงบันดาลใจและการรับมือกับงานที่ไม่ถนัด
ตั้มเรียนรู้การทำบายศรีจากยูทูป การสอบถาม และสังเกตจากคนใกล้ตัว ทั้งเคยเรียนจัดดอกไม้จากการเข้าอบรมหลักสูตรที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2557 การฝึกอบรมครั้งนั้นทำให้เขาได้รู้จักดอกไม้หลากชนิดมากขึ้นและเกิดความคิดที่จะผสานการจัดดอกไม้กับงานบายศรี ซึ่งต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์งานบายศรีของเขา
ตัวอย่างงานที่ผสานการจัดดอกไม้และเทคนิคการทำบายศรีของตั้ม
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
หากลูกค้าอยากได้รูปแบบงานที่นอกเหนือจากความถนัดของตั้ม เขาจะบอกกับลูกค้าตรง ๆ ว่านี่ไม่ใช่สไตล์ที่เขาถนัดพร้อมแนะนำร้านอื่นให้ หรือบางครั้งที่ตั้มรับงานลูกค้าที่ต้องการความปราณีตมาก ราคาสูง งานละเอียดยิบ รายละเอียดเยอะ ตั้มก็จะหาร้านที่อยู่ใกล้เคียงหรือเพื่อนที่รู้จักกันให้มาช่วยกันทำตามความถนัดของแต่ละคน ซึ่งการแบ่งงานแบบนี้จะทำให้ได้งานที่ละเอียด ดูสวย และน่าสนใจ
“เราไม่ได้มีระบบร้านคนนั้นคนนี้ เราไม่ได้ต้องไปแบ่งกันขนาดนั้น ถ้าลูกค้าชอบแบบนี้ เขาเอาแบบมาให้ดู แล้วเราจำได้ว่าเป็นงานแบบของเพื่อน เราก็จะเอาไปถามเพื่อนเรา” ตั้มกล่าว
แรงบันดาลใจในการทำบายศรีของตั้มมาจากการสังเกตงานฝีมือรอบตัว เช่น ของที่โยมเอามาถวายพระหรืองานบวงสรวงต่าง ๆ การยืนดูลายไทยที่ประดับตกแต่งวัด เมื่อพบงานที่น่าสนใจก็จะถ่ายรูปและนำมาปรับใช้กับงานบายศรีของตน ถ้ายังไม่มีออเดอร์ก็จะลองนั่งทำเพื่อใช้เป็นตัวอย่างให้ลูกค้าดู หรือหากเกิดภาวะสมองตัน ตั้มก็จะเปิดหาตัวอย่างในยูทูปหรือเดินไปปรึกษาเพื่อนร้านบายศรีใกล้เคียง
จากประสบการณ์รับทำบายศรีมาหลายปี ตั้มคิดว่างานที่ยากและท้าทายที่สุดสำหรับเขา คือ การขึ้นบายศรีเป็นรูปช้างพระพิฆเนศที่นำไปใช้ใส่พวงมาลัยในพิธีบวงสรวงและการขึ้นรูปสัตว์อื่น ๆ เช่น พญานาค งานลักษณะนี้ยากเพราะมีรูปแบบการทำต่างจากบายศรีที่ซ้อนเป็นชั้น เพราะต้องเหลาโฟมและดัดลวดให้เป็นรูปสัตว์ตามต้องการ รวมถึงการปักเย็บอะไหล่ต่าง ๆ หากทำไม่ดีก็มีโอกาสหักหรือล้มค่อนข้างสูง
บายศรีใหญ่ขึ้นรูปพญานาค โดย บายศรี by ตั้ม
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
ตั้มไม่ได้จำกัดไว้ว่าลูกค้าจะแก้งานได้กี่ครั้ง เพราะต้องการให้งานออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด แต่เนื่องจากงานบายศรีเป็นงานที่ทุกส่วนมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหมด หากมีการแก้งาน 1 จุด ก็อาจต้องรื้อแก้เกือบทั้งชิ้นงาน ดังนั้น หากมีจุดไหนที่แก้ยากและสามารถผ่อนปรนได้ ตั้มก็จะสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา
การทำบายศรีใหญ่จำเป็นต้องใช้ความเร็วในการทำงานควบคู่กับความปราณีต เพราะข้อจำกัดเรื่องการเก็บดูแลรักษา เนื่องจากงานเหล่านี้ใช้วัสดุจากธรรมชาติจึงมีระยะเวลาในการเก็บไม่นาน กระบวนการทำงานจึงต้องเกิดขึ้นก่อนใช้งานจริงเพียง 3 วันเท่านั้น ตั้มบอกว่าเคล็ดลับการดูแลบายศรีให้อยู่ได้นาน คือ การเช็ดหรือฉีดใบตองด้วยน้ำแกว่งสารส้มจะทำให้บายศรีอยู่ได้ 4-5 วัน แต่หากแช่เย็นก็จะอยู่ได้เป็นสัปดาห์
ตั้มจะสั่งใบตองจากสวนที่ต่างจังหวัดมาเป็นวัสดุในการทำบายศรี ร้านค้าที่ปากคลองส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้เช่นกัน โดยร้านต้องสั่งของที่ต้องการจากสวนล่วงหน้า 2-3 วัน/ครั้ง ตามรอบการส่งของ ดังนั้น หากใครไปปากคลองตลาดช่วงพลบค่ำจะเห็นคนนำของมาลงจากรถกระบะและมีแรงงานช่วยกันขน นั่นคือของจากสวนที่แต่ละร้านสั่งไว้ เมื่อส่งของแล้วก็จะถามว่ารอบหน้าต้องการอะไร จำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้สวนเตรียมตัดสำหรับรอบต่อไป
การสั่งของเป็นรอบแบบนี้จำเป็นต้องใช้ความชำนาญพอสมควร โดยอ้างอิงกับวันพระใหญ่ วันสำคัญ และเทศกาลต่าง ๆ ในปฏิทิน หากช่วงเดือนนี้มีวันสำคัญร้านค้าก็จะสั่งของเผื่อล่วงหน้าในรอบต่อไป แต่หากไม่ตรงกับวันสำคัญใดก็จะสั่งของตามปริมาณที่ใช้ปกติ
ช่วงพีค-ซบเซาของตลาดบายศรี
“จะหนักจะเหนื่อยก็เป็นช่วงวันพระใหญ่ อย่างวันวิสาขบูชา มาฆบูชา เข้าพรรษา ลูกค้าก็จะเยอะ เราก็จะเหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยเยอะ เพราะว่าทุกร้านก็เหมือน ๆ กัน คล้าย ๆ กันหมด”
ตั้มเล่าว่า มีลูกค้าติดต่อมาซื้อบายศรีในทุกช่วงเทศกาลของไทย รวมถึงวันพระและวันโกน โดยทุกเทศกาลจะมีออเดอร์จากต่างจังหวัดเข้ามาก่อนออเดอร์ในกรุงเทพฯ 2-3 วัน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการจัดส่งด้วย หากผู้มาติดต่อซื้อเป็นร้านบายศรี ตั้มจะขายในราคาขายส่งและให้เขาไปบวกราคาทบต้นทุนค่าเดินทางกับลูกค้าของเขาเอง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นร้านจากชลบุรี
นอกจากนั้น ยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่สั่งให้ทำบายศรีแบบแห้งส่งไปบ้างแต่ไม่บ่อยนัก โดยใช้วัสดุเป็นผ้าย้อมสีและงานประดิษฐ์จากพลาสติก เช่น ดอกรักปลอม เพื่อนำไปใช้เป็นของประดับร้านหรือบูธขายสินค้า หรือสั่งเป็นเครื่องแขวนสำหรับตกแต่งอาคาร
บายศรียังขายดีช่วงวันไหว้ครูที่จะเห็นนักเรียนจากสถานศึกษาต่าง ๆ มาเดินเลือกซื้อบายศรีเต็มตลาด อีกเทศกาลขายดีคือลอยกระทง ซึ่งร้านบายศรีส่วนใหญ่จะผันตัวเป็นร้านขายกระทง ร้านของตั้มก็เช่นกัน โดยช่วงปีที่ผ่านมา ตั้มได้รับงานทำกระทงจากลูกค้าที่ติดต่อผ่านเพจเฟซบุ๊กของร้านให้ทำกระทงขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการแห่และประกวด
ตัวอย่างงานกระทงจากร้านบายศรี by ตั้ม
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
เกณฑ์การรับทำงานกระทงใหญ่ของตั้ม คือ งานที่ไม่สร้างความกดดันให้เขามากเกินไปและสามารถเจรจาตกลงกันได้ ส่วนใหญ่เขาจะไม่รับกระทงใหญ่ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด เนื่องจากการใช้หยวกกล้วยเป็นฐานทำให้จัดเก็บและเคลื่อนย้ายลำบากเพราะมีน้ำหนักมากและต้องใช้หลายคนยก
แม้ตระหนักถึงมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้วัสดุสังเคราะห์ แต่ตั้มมองว่า หากลอยกระทงในกรุงเทพฯ จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยเก็บกระทงขึ้นทันทีภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งพอจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้บ้าง
ตั้มกำลังทำอะไหล่บายศรีสำหรับก่อนวันพระ
ส่วนช่วงซบเซาของร้านบายศรี คือ วันพระเล็กและหลังวันพระใหญ่ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อของล่วงหน้าหรือเมื่อถึงวันพระก็จะขายได้แค่ช่วงเช้า ระหว่างนี้ ตั้มจะพับใบตองและทำอะไหล่บายศรีเตรียมไว้สำหรับวันพระต่อไป ทำให้หลังวันพระ 1-2 วัน เป็นวันพักผ่อนของชาวยอดพิมาน เพราะเป็นช่วงตลาดเงียบหากมีธุระหรืออยากหยุดไปเที่ยวก็จะไปกันช่วงเวลานี้
ซบเซา-ฟื้นฟู: โควิด-19 กระแสถ่ายรูปสะพานเขียว และอนาคตของงานบายศรี-ปากคลองตลาด
ย้อนกลับไปช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563-2564 เป็นช่วงที่ไม่มีงานบุญและตลาดปิด คนงานและแม่ค้าต่างกลับภูมิลำเนาหรืออยู่บ้านแต่ยังมีลูกค้าติดต่อมาบ้าง ตั้มก็มีบริการจัดส่งให้จนเมื่อรัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดก็มีลูกค้าที่จะใช้บายศรีใหญ่กลับมาติดต่อกันเหมือนเดิม
หน้าร้านของตั้มในตลาดยอดพิมาน
ตั้มเล่าว่าระหว่างที่ตลาดปิด เขาได้ผันตัวมาเปิดร้านขายส้มตำเพื่อหารายได้เสริมในช่วงที่ตลาดงานฝีมือซบเซา จึงเป็นสาเหตุที่ร้านของเขามีเมนูอาหารอีสานติดอยู่ที่โต๊ะ โดยระบบการขายอาหารในตลาดยอดพิมาน คือ การเดินรับออเดอร์จากร้านดอกไม้ต่าง ๆ และนำไปเสิร์ฟเมื่อทำเสร็จเพราะทุกคนต้องนั่งเฝ้าหน้าร้านของตนเอง การนั่งรอให้มีลูกค้ามาสั่งอาหารจึงเป็นไปได้ยาก
เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคระบาดและตลาดดอกไม้กลับมาคึกคัก ตั้มก็ลังเลว่าตนจะเปิดร้านส้มตำต่อไปหรือกลับมาขายบายศรี จึงไปปรึกษากับผู้ใหญ่ที่สนิทและได้คำตอบว่า การเปิดร้านบายศรีจะมั่นคงมากกว่า เพราะการขายอาหารมีความเสี่ยงเรื่องราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ใบตองมีอัตราการขึ้นราคาแค่ช่วงเทศกาล เช่น ลอยกระทง
ตั้มบอกว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้นจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปากคลองตลาดเริ่มกลับมาคึกคักแม้จะยังไม่ 100% ประกอบกับกระแสถ่ายรูปดอกไม้กับสะพานพุทธ หรือ ‘สะพานเขียว’ ของวัยรุ่น ทำให้ปากคลองตลาดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้คนกลุ่มนี้จะไม่ได้เข้ามาซื้อบายศรีของตั้มไปถ่ายรูปกับสะพานก็ตาม
เมื่อถามว่ากังวลว่างานบายศรีที่อาจไม่เป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่หรือไม่ ตั้มคิดว่างานฝีมือดอกไม้คงไม่หายไปจากสังคมไทยง่าย ๆ เพราะร้านค้าในปากคลองส่วนใหญ่จะมีลูกหลานมาคอยช่วยหรือสืบสานอยู่แล้ว นอกจากนั้น บายศรียังเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาจนเป็นสัญลักษณ์ของงานมงคล จึงไม่น่าจะเลือนหายได้ง่าย ๆ
ส่วนตั้มเอง แม้ไม่ได้ถนัดเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียมากนัก แต่แฟนของเขาจะคอยช่วยอัปเดตผลงานให้ทั้งในเฟซบุ๊กและติ๊กต้อก เพื่อให้มีคนรู้จักผลงานของเขามากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีกลุ่ม ‘คนรักบายศรี’ ในเฟซบุ๊ก ที่เปรียบเหมือนพื้นที่แสดงผลงานขนาดย่อมของคนทำบายศรี ทำให้ได้เห็นการออกแบบและเทคนิคการทำบายศรีที่หลากหลายมากขึ้น
วันธรรมดาของ ‘ตั้ม’ ท้ายตลาดยอดพิมาน
“พอคนเดินไปเดินมาเยอะ เราก็เออ ถึงจะขายดีหรือไม่ดี แต่พอเห็นคนเดินเยอะๆ มันก็มีชีวิตชีวา มีความสุข แต่ถ้ามองไปแล้วโล่งๆ ไม่มีคนเดินมันก็จะเหงา เราก็ไม่รู้จะยังไง มันเหงาอะ” ตั้มพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
POV ตลาดยอดพิมานจากร้านบายศรี by ตั้ม
ความสุขอีกอย่างของตั้ม คือ เมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเดินตลาดหยุดดูตั้มที่กำลังนั่งทำบายศรีอยู่ ตั้มมักจะเงยหน้าและยิ้มให้พวกเขา บางครั้งก็จะมีไกด์หรือล่ามคอยอธิบายว่าสิ่งที่ตั้มทำอยู่คืออะไร วัสดุเหล่านี้คืออะไร นักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็สนใจเพราะเป็นวัฒนธรรมไทย
“คิดว่ามันน่าจะคึกคักมากกว่านี้ ถ้าอะไรต่างๆ มันดีขึ้น เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น คนก็จะกลับมาใช้ของไหว้ มีความสุขในการสวดมนต์ เขาก็จะเลือกใช้บายศรีหรือดอกไม้มากขึ้น เพราะว่ามันไม่มีกำลังใจถ้าเศรษฐกิจมันเงียบเหงาหรือซบเซา ก็ไม่มีกำลังใจที่จะซื้อ ไม่มีกำลังใจเลย แต่ถ้าเศรษฐกิจดีปุ๊บเราก็จะเออ มีกำลังใจ ซื้อของไปบูชา เพื่อให้จิตใจดีขึ้น” ตั้มกล่าว
เรื่อง-ภาพ : โยษิตา สินบัว
‘ตั้ม’ เจ้าของร้านบายศรีเล็ก ๆ ท้ายตลาดยอดพิมาน ในย่านปากคลองตลาด เล่าประสบการณ์ทำงานบายศรี งานฝีมือที่ดูไม่ยากแต่ต้องอาศัยความปราณีตและละเอียด ย้อนมองช่วงซบเซาจากการระบาดของโควิด-19 ช่วงฟื้นฟูจากกระแสถ่ายรูปสะพานเขียว และอนาคตของงานบายศรี
“ตั้ม-ชยพล สุวิเศษ” อายุ 34 ปี เจ้าของร้าน “บายศรี by ตั้ม” ในตลาดยอดพิมานกล่าว เขาบอกว่า พื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางการค้าส่งดอกไม้และพืชผักเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งขายงานฝีมือดอกไม้เพื่อนำไปใช้ในทุกวาระสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น งานบุญ งานแต่ง หรืองานศพ
ท่ามกลางร้านขายพวงมาลัย ดอกไม้สด และบายศรีมากมายในปากคลองตลาด หากเดินลึกเข้าไปด้านในสุดของตลาดยอดพิมาน จะพบโต๊ะขนาด 2 เมตร พร้อมป้ายเมนูอาหารอีสานแปะอยู่ ซุ้มเล็ก ๆ นี้ไม่ได้ขายส้มตำตามป้ายที่เขียนไว้ แต่เป็นร้านรับผลิตงานฝีมือจากดอกไม้ชื่อว่า ‘ร้านบายศรี by ตั้ม’
บายศรี by ตั้ม มีชายเจ้าของชื่อเดียวกับร้านเป็นผู้ดูแลตั้งแต่การคุยกับลูกค้า รับออเดอร์ ผลิตงานตามความต้องการของลูกค้า แก้งาน และจัดส่ง บางครั้งก็มีแฟนมาช่วยดูแลความเรียบร้อยของงานหรือช่วยดูแลเพจให้ ปกติตั้มรับทำบายศรี 2 แบบ คือ บายศรีปากชามและบายศรีต้น
บายศรีปากชาม เป็นบายศรีรูปแบบมาตรฐานและมีขนาดเล็ก ทำจากใบตองม้วนเป็นรูปกรวยคว่ำไว้กลางชามหรือพานโดยให้ยอดแหลมของกรวยอยู่ข้างบน รอบกรวยประดับด้วย ‘นมแมว’ เป็นใบตองพับทบกันไปมารูปแหลมเรียว ระหว่างนมแมวจะมีพื้นที่สำหรับใส่ดอกไม้ อาหาร หรือธูปเทียน มักใช้เป็นเครื่องบวงสรวงเทวดา งานบุญ และงานมงคลขนาดเล็ก เช่น การตั้งหรือถอนศาลพระภูมิ การบูชาครู บูชาพระ เป็นต้น บายศรีประเภทนี้มักขายดีช่วงก่อนวันพระ
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
ส่วน บายศรีต้น เป็นบายศรีขนาดใหญ่ ไม่กำหนดจำนวนชั้นหรือรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน ตั้มจะรับงานพร้อมออกแบบให้มีความแตกต่างและปราณีตตามความต้องการของลูกค้า ส่วนใหญ่มักใช้เป็นเครื่องบูชาเทพตามลัทธิพราหมณ์หรืองานมงคลขนาดใหญ่ เช่น งานสักการะเทพเจ้าชั้นพรหม ทำขวัญบวชนาค สู่ขวัญแต่งงาน งานไหว้ครูช่าง
ประเภทของบายศรี
บายศรี แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ที่มา: สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน (2556)
แรงบันดาลใจและการรับมือกับงานที่ไม่ถนัด
ตั้มเรียนรู้การทำบายศรีจากยูทูป การสอบถาม และสังเกตจากคนใกล้ตัว ทั้งเคยเรียนจัดดอกไม้จากการเข้าอบรมหลักสูตรที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2557 การฝึกอบรมครั้งนั้นทำให้เขาได้รู้จักดอกไม้หลากชนิดมากขึ้นและเกิดความคิดที่จะผสานการจัดดอกไม้กับงานบายศรี ซึ่งต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์งานบายศรีของเขา
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
หากลูกค้าอยากได้รูปแบบงานที่นอกเหนือจากความถนัดของตั้ม เขาจะบอกกับลูกค้าตรง ๆ ว่านี่ไม่ใช่สไตล์ที่เขาถนัดพร้อมแนะนำร้านอื่นให้ หรือบางครั้งที่ตั้มรับงานลูกค้าที่ต้องการความปราณีตมาก ราคาสูง งานละเอียดยิบ รายละเอียดเยอะ ตั้มก็จะหาร้านที่อยู่ใกล้เคียงหรือเพื่อนที่รู้จักกันให้มาช่วยกันทำตามความถนัดของแต่ละคน ซึ่งการแบ่งงานแบบนี้จะทำให้ได้งานที่ละเอียด ดูสวย และน่าสนใจ
แรงบันดาลใจในการทำบายศรีของตั้มมาจากการสังเกตงานฝีมือรอบตัว เช่น ของที่โยมเอามาถวายพระหรืองานบวงสรวงต่าง ๆ การยืนดูลายไทยที่ประดับตกแต่งวัด เมื่อพบงานที่น่าสนใจก็จะถ่ายรูปและนำมาปรับใช้กับงานบายศรีของตน ถ้ายังไม่มีออเดอร์ก็จะลองนั่งทำเพื่อใช้เป็นตัวอย่างให้ลูกค้าดู หรือหากเกิดภาวะสมองตัน ตั้มก็จะเปิดหาตัวอย่างในยูทูปหรือเดินไปปรึกษาเพื่อนร้านบายศรีใกล้เคียง
จากประสบการณ์รับทำบายศรีมาหลายปี ตั้มคิดว่างานที่ยากและท้าทายที่สุดสำหรับเขา คือ การขึ้นบายศรีเป็นรูปช้างพระพิฆเนศที่นำไปใช้ใส่พวงมาลัยในพิธีบวงสรวงและการขึ้นรูปสัตว์อื่น ๆ เช่น พญานาค งานลักษณะนี้ยากเพราะมีรูปแบบการทำต่างจากบายศรีที่ซ้อนเป็นชั้น เพราะต้องเหลาโฟมและดัดลวดให้เป็นรูปสัตว์ตามต้องการ รวมถึงการปักเย็บอะไหล่ต่าง ๆ หากทำไม่ดีก็มีโอกาสหักหรือล้มค่อนข้างสูง
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
ตั้มไม่ได้จำกัดไว้ว่าลูกค้าจะแก้งานได้กี่ครั้ง เพราะต้องการให้งานออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด แต่เนื่องจากงานบายศรีเป็นงานที่ทุกส่วนมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหมด หากมีการแก้งาน 1 จุด ก็อาจต้องรื้อแก้เกือบทั้งชิ้นงาน ดังนั้น หากมีจุดไหนที่แก้ยากและสามารถผ่อนปรนได้ ตั้มก็จะสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา
การทำบายศรีใหญ่จำเป็นต้องใช้ความเร็วในการทำงานควบคู่กับความปราณีต เพราะข้อจำกัดเรื่องการเก็บดูแลรักษา เนื่องจากงานเหล่านี้ใช้วัสดุจากธรรมชาติจึงมีระยะเวลาในการเก็บไม่นาน กระบวนการทำงานจึงต้องเกิดขึ้นก่อนใช้งานจริงเพียง 3 วันเท่านั้น ตั้มบอกว่าเคล็ดลับการดูแลบายศรีให้อยู่ได้นาน คือ การเช็ดหรือฉีดใบตองด้วยน้ำแกว่งสารส้มจะทำให้บายศรีอยู่ได้ 4-5 วัน แต่หากแช่เย็นก็จะอยู่ได้เป็นสัปดาห์
ตั้มจะสั่งใบตองจากสวนที่ต่างจังหวัดมาเป็นวัสดุในการทำบายศรี ร้านค้าที่ปากคลองส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้เช่นกัน โดยร้านต้องสั่งของที่ต้องการจากสวนล่วงหน้า 2-3 วัน/ครั้ง ตามรอบการส่งของ ดังนั้น หากใครไปปากคลองตลาดช่วงพลบค่ำจะเห็นคนนำของมาลงจากรถกระบะและมีแรงงานช่วยกันขน นั่นคือของจากสวนที่แต่ละร้านสั่งไว้ เมื่อส่งของแล้วก็จะถามว่ารอบหน้าต้องการอะไร จำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้สวนเตรียมตัดสำหรับรอบต่อไป
การสั่งของเป็นรอบแบบนี้จำเป็นต้องใช้ความชำนาญพอสมควร โดยอ้างอิงกับวันพระใหญ่ วันสำคัญ และเทศกาลต่าง ๆ ในปฏิทิน หากช่วงเดือนนี้มีวันสำคัญร้านค้าก็จะสั่งของเผื่อล่วงหน้าในรอบต่อไป แต่หากไม่ตรงกับวันสำคัญใดก็จะสั่งของตามปริมาณที่ใช้ปกติ
ช่วงพีค-ซบเซาของตลาดบายศรี
ตั้มเล่าว่า มีลูกค้าติดต่อมาซื้อบายศรีในทุกช่วงเทศกาลของไทย รวมถึงวันพระและวันโกน โดยทุกเทศกาลจะมีออเดอร์จากต่างจังหวัดเข้ามาก่อนออเดอร์ในกรุงเทพฯ 2-3 วัน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการจัดส่งด้วย หากผู้มาติดต่อซื้อเป็นร้านบายศรี ตั้มจะขายในราคาขายส่งและให้เขาไปบวกราคาทบต้นทุนค่าเดินทางกับลูกค้าของเขาเอง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นร้านจากชลบุรี
นอกจากนั้น ยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่สั่งให้ทำบายศรีแบบแห้งส่งไปบ้างแต่ไม่บ่อยนัก โดยใช้วัสดุเป็นผ้าย้อมสีและงานประดิษฐ์จากพลาสติก เช่น ดอกรักปลอม เพื่อนำไปใช้เป็นของประดับร้านหรือบูธขายสินค้า หรือสั่งเป็นเครื่องแขวนสำหรับตกแต่งอาคาร
บายศรียังขายดีช่วงวันไหว้ครูที่จะเห็นนักเรียนจากสถานศึกษาต่าง ๆ มาเดินเลือกซื้อบายศรีเต็มตลาด อีกเทศกาลขายดีคือลอยกระทง ซึ่งร้านบายศรีส่วนใหญ่จะผันตัวเป็นร้านขายกระทง ร้านของตั้มก็เช่นกัน โดยช่วงปีที่ผ่านมา ตั้มได้รับงานทำกระทงจากลูกค้าที่ติดต่อผ่านเพจเฟซบุ๊กของร้านให้ทำกระทงขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการแห่และประกวด
ภาพ: บายศรี by ตั้ม
เกณฑ์การรับทำงานกระทงใหญ่ของตั้ม คือ งานที่ไม่สร้างความกดดันให้เขามากเกินไปและสามารถเจรจาตกลงกันได้ ส่วนใหญ่เขาจะไม่รับกระทงใหญ่ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด เนื่องจากการใช้หยวกกล้วยเป็นฐานทำให้จัดเก็บและเคลื่อนย้ายลำบากเพราะมีน้ำหนักมากและต้องใช้หลายคนยก
แม้ตระหนักถึงมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้วัสดุสังเคราะห์ แต่ตั้มมองว่า หากลอยกระทงในกรุงเทพฯ จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยเก็บกระทงขึ้นทันทีภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งพอจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้บ้าง
ส่วนช่วงซบเซาของร้านบายศรี คือ วันพระเล็กและหลังวันพระใหญ่ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อของล่วงหน้าหรือเมื่อถึงวันพระก็จะขายได้แค่ช่วงเช้า ระหว่างนี้ ตั้มจะพับใบตองและทำอะไหล่บายศรีเตรียมไว้สำหรับวันพระต่อไป ทำให้หลังวันพระ 1-2 วัน เป็นวันพักผ่อนของชาวยอดพิมาน เพราะเป็นช่วงตลาดเงียบหากมีธุระหรืออยากหยุดไปเที่ยวก็จะไปกันช่วงเวลานี้
ซบเซา-ฟื้นฟู: โควิด-19 กระแสถ่ายรูปสะพานเขียว และอนาคตของงานบายศรี-ปากคลองตลาด
ย้อนกลับไปช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563-2564 เป็นช่วงที่ไม่มีงานบุญและตลาดปิด คนงานและแม่ค้าต่างกลับภูมิลำเนาหรืออยู่บ้านแต่ยังมีลูกค้าติดต่อมาบ้าง ตั้มก็มีบริการจัดส่งให้จนเมื่อรัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดก็มีลูกค้าที่จะใช้บายศรีใหญ่กลับมาติดต่อกันเหมือนเดิม
ตั้มเล่าว่าระหว่างที่ตลาดปิด เขาได้ผันตัวมาเปิดร้านขายส้มตำเพื่อหารายได้เสริมในช่วงที่ตลาดงานฝีมือซบเซา จึงเป็นสาเหตุที่ร้านของเขามีเมนูอาหารอีสานติดอยู่ที่โต๊ะ โดยระบบการขายอาหารในตลาดยอดพิมาน คือ การเดินรับออเดอร์จากร้านดอกไม้ต่าง ๆ และนำไปเสิร์ฟเมื่อทำเสร็จเพราะทุกคนต้องนั่งเฝ้าหน้าร้านของตนเอง การนั่งรอให้มีลูกค้ามาสั่งอาหารจึงเป็นไปได้ยาก
เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคระบาดและตลาดดอกไม้กลับมาคึกคัก ตั้มก็ลังเลว่าตนจะเปิดร้านส้มตำต่อไปหรือกลับมาขายบายศรี จึงไปปรึกษากับผู้ใหญ่ที่สนิทและได้คำตอบว่า การเปิดร้านบายศรีจะมั่นคงมากกว่า เพราะการขายอาหารมีความเสี่ยงเรื่องราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ใบตองมีอัตราการขึ้นราคาแค่ช่วงเทศกาล เช่น ลอยกระทง
ตั้มบอกว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้นจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปากคลองตลาดเริ่มกลับมาคึกคักแม้จะยังไม่ 100% ประกอบกับกระแสถ่ายรูปดอกไม้กับสะพานพุทธ หรือ ‘สะพานเขียว’ ของวัยรุ่น ทำให้ปากคลองตลาดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้คนกลุ่มนี้จะไม่ได้เข้ามาซื้อบายศรีของตั้มไปถ่ายรูปกับสะพานก็ตาม
เมื่อถามว่ากังวลว่างานบายศรีที่อาจไม่เป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่หรือไม่ ตั้มคิดว่างานฝีมือดอกไม้คงไม่หายไปจากสังคมไทยง่าย ๆ เพราะร้านค้าในปากคลองส่วนใหญ่จะมีลูกหลานมาคอยช่วยหรือสืบสานอยู่แล้ว นอกจากนั้น บายศรียังเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาจนเป็นสัญลักษณ์ของงานมงคล จึงไม่น่าจะเลือนหายได้ง่าย ๆ
ส่วนตั้มเอง แม้ไม่ได้ถนัดเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียมากนัก แต่แฟนของเขาจะคอยช่วยอัปเดตผลงานให้ทั้งในเฟซบุ๊กและติ๊กต้อก เพื่อให้มีคนรู้จักผลงานของเขามากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีกลุ่ม ‘คนรักบายศรี’ ในเฟซบุ๊ก ที่เปรียบเหมือนพื้นที่แสดงผลงานขนาดย่อมของคนทำบายศรี ทำให้ได้เห็นการออกแบบและเทคนิคการทำบายศรีที่หลากหลายมากขึ้น
วันธรรมดาของ ‘ตั้ม’ ท้ายตลาดยอดพิมาน
ความสุขอีกอย่างของตั้ม คือ เมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเดินตลาดหยุดดูตั้มที่กำลังนั่งทำบายศรีอยู่ ตั้มมักจะเงยหน้าและยิ้มให้พวกเขา บางครั้งก็จะมีไกด์หรือล่ามคอยอธิบายว่าสิ่งที่ตั้มทำอยู่คืออะไร วัสดุเหล่านี้คืออะไร นักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็สนใจเพราะเป็นวัฒนธรรมไทย
“คิดว่ามันน่าจะคึกคักมากกว่านี้ ถ้าอะไรต่างๆ มันดีขึ้น เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น คนก็จะกลับมาใช้ของไหว้ มีความสุขในการสวดมนต์ เขาก็จะเลือกใช้บายศรีหรือดอกไม้มากขึ้น เพราะว่ามันไม่มีกำลังใจถ้าเศรษฐกิจมันเงียบเหงาหรือซบเซา ก็ไม่มีกำลังใจที่จะซื้อ ไม่มีกำลังใจเลย แต่ถ้าเศรษฐกิจดีปุ๊บเราก็จะเออ มีกำลังใจ ซื้อของไปบูชา เพื่อให้จิตใจดีขึ้น” ตั้มกล่าว
Share this: