ความรักของ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่มีให้กับ ‘บ้านเกิด’
เรื่อง : วรัญชัย เจริญโชติ
ภาพ : อีสานจะเลิร์น , เสียงเยาวชนขอนแก่น : KK-VoY , ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์
‘เราอยากกลับไปทำงานที่บ้าน หรือ ทำงานที่กรุงเทพฯ?’
คำถามที่บัณฑิตจบใหม่หลายคนมักโดนถามจากคนรอบตัว บางคนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะโอกาสทางการศึกษาสูงกว่า ทั้งชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย สื่อการสอน วิชาเรียนและสาขาวิชาที่หลากหลายกว่าสถาบันการศึกษาในบ้านเกิด รวมไปถึงโอกาสหางานของบางสายอาชีพที่สูงกว่า เช่น สายงานครีเอทีฟ สายงานศิลปะ สายงานธุรกิจ ทั้งหมดตอกย้ำถึงการกระจุกตัวของความเจริญด้านต่าง ๆ ในเมือง
ด้วยความผูกพันต่อบ้านเกิดของตน มีคนรุ่นใหม่อีกจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจเข้าเมืองมาเพื่อเปิดหูเปิดตา ตามล่าหาประสบการณ์ ด้วยความหวังที่อยากเห็นบ้านเกิดพัฒนาและเจริญเหมือนเมืองใหญ่ นิสิตนักศึกษาชวนจึงสำรวจพลังคนรุ่นใหม่กับความพยายามที่จะพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง
เมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนา
เต้-ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำงานการเมืองในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า เดิมทีตนไม่ได้เรียนในสายการเมืองมาก่อน แต่เรียนสถาปัตย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาที่เลือกเรียน คือสาขาผังเมือง ทำให้ตนมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบผังเมืองที่ดี จุดนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก กลับหันมาสนใจและต้องการกลับมาพัฒนา อยุธยา บ้านเกิดของตนให้ดียิ่งขึ้น
เต้ ทวิวงศ์ มองว่า จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดี เชื่อว่าสามารถผลักดันอยุธยาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวได้มากกว่าเดิม รวมทั้งศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนในจังหวัด เนื่องจากอยุธยาเป็นแหล่งที่ตั้งของโรงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง หากมีการพัฒนาและส่งเสริมที่ดีจากหน่วยงานรัฐ จะสามารถผลักดันเศรษฐกิจภายในจังหวัดให้ดีขึ้นได้
ขณะเดียวกัน อยุธยาก็ประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องน้ำท่วมซ้ำซ้อนเป็นประจำทุกปี กองภูเขาขยะที่เกิดจากการไม่มีระบบคัดแยกขยะ และระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ทั่วถึง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลถึงสุขภาวะของอยุธยาจนอาจกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่และไม่น่าเที่ยวอีกต่อไป หากไม่สามารถได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนจากภาคประชาชน นับเป็นทางออกของปัญหาดังกล่าวซึ่งมีทิศทางที่น่าสนใจ ภายในจังหวัดมีกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ที่เริ่มศึกษาปัญหาน้ำท่วมและขนส่งสาธารณะ มีการแลกเปลี่ยนระดมความคิดผ่านงานเสวนา ซึ่งทาง เต้ ทวิวงศ์ ได้ร่วมงานเสวนาดังกล่าว และได้ร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวทางการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค จ.พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในเครือข่ายภาคประชาสังคมที่กำลังดำเนินเรื่องขนส่งสาธารณะให้เกิดขึ้นจริง คนอยุธยาหลายคนต่างต้องการให้มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี เนื่องจากปัจจุบัน อยุธยาไม่มีท่ารถประจำทางเป็นหลักแหล่ง มีเพียงจุดจอดรถชั่วคราว ทำให้การเดินทางไม่สะดวกและล่าช้า
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาและภาคประชาสังคม นับเป็นสัญญาณที่ชี้ชัดว่าคนรุ่นใหม่ในจังหวัดต้องการเห็นอยุธยาดีขึ้น…ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้เห็นแล้วว่าคนอยุธยาต้องการการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นบ้านเกิดที่พัฒนา เริ่มเบื่อหน่ายกับการเมืองเดิม ๆ ที่ฉุดรั้งอยุธยาเอาไว้” เต้ ทวิวงศ์ กล่าว
หากอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะพบว่า จ.พระนครศรีอยุธยา นับว่าเป็นจังหวัดที่มี GDP สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคกลาง (ไม่นับรวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ทั้งยังได้รับจัดสรรงบประมาณส่วนท้องถิ่นจากส่วนกลางสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ด้วยศักยภาพที่กล่าวมา จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในจังหวัดให้ดีในหลาย ๆ ด้าน
เมืองที่มองเห็นทุกคน
คล้ายกับอยุธยา ขอนแก่น เป็นอีกจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ทั้งยังมี GDP ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะเดียวกัน ขอนแก่นก็ยังเป็นจังหวัดแรก ๆ ในประเทศที่มีการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในหลากหลายด้านจากคนรุ่นใหม่ซึ่งได้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดด้วยวิธีสร้างเครือข่าย สร้างสัมพันธ์ และสร้างองค์กรภาคประชาชนขึ้นมา
เสียงเยาวชนขอนแก่น : KK-VoY เครือข่ายประชาสังคมที่เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ ในภูมิภาคอีสาน เพื่อขับเคลื่อนประเด็นปัญหาแม่น้ำโขง เมื่อช่วงปี 2564 หลังจากเวลาผ่านไป จึงได้รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อขับเคลื่อนประเด็นปัญหาภายใน จ.ขอนแก่น โดยพวกเขาเล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาภายในจังหวัด และปัญหาของกลุ่มชุมชนริมทางรถไฟที่ถูกทำให้เป็น ‘คนชายขอบ’
“เมืองต้อง ‘มองเห็นทุกคน’ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อเมือง ไม่ควรมีใครต้องถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ ทุกคนควรได้รับการศึกษา และมีความเจริญเข้าถึงในทุกภาคส่วน”
ออม-ประทักษ์ ทาทอง นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม KK-VoY กล่าวถึงเมืองในทัศนะของเขาพร้อมเสริมว่า ขอนแก่นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซ้อน ทุกครั้งที่น้ำท่วม ชุมชนริมทางรถไฟซึ่งเป็นชุมชนที่เครือข่ายฯ ทำงานด้วย จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากชุมชนดังกล่าวไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานท้องถิ่น พวกเขาจึงถูกผลักให้เป็นคนชายขอบจากภาครัฐ ทำให้คนในชุมชนเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการและแหล่งน้ำสะอาด ณ ตอนนี้ ได้มีเยาวชนเริ่มพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมขึ้นมา หวังช่วยเหลือคนในชุมชนที่เข้าไม่ถึงการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ เพื่อให้พวกเขาสามารถเตรียมตัวและอพยพได้ทัน
“อย่างน้อยคนในชุมชนควรเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากรัฐ แต่รัฐกลับสื่อสารมาไม่ถึงพวกเขา เราได้ทดสอบระบบแจ้งเตือนและพบว่า เมื่อคนในชุมชนทราบข่าว พวกเขาก็สามารถอพยพได้ทันท่วงที” ประทักษ์กล่าว
เมืองจะเจริญ เมื่อคนอยากจะเลิร์น
แนวคิดของกลุ่ม อีสานจะเลิร์น องค์กรด้านการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายภาคประชาสังคมของคนรุ่นใหม่ที่ทำงานใน จ.ขอนแก่น ด้วยความตั้งใจสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับคนทุกกลุ่ม เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชน เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเครือข่ายนี้ มาจากโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งเล็งเห็นว่าช่วงปิดเทอมของนักเรียน ถือว่าเป็นสุญญากาศทางการศึกษา เพราะนักเรียนไม่ได้รับการเรียนรู้ จึงเกิดโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อหวังสร้างความรู้ด้านอื่น ๆ นอกห้องเรียนให้กับเด็ก ทว่าโครงการดังกล่าวกลับดำเนินการเฉพาะช่วงปิดเทอม เครือข่ายฯ จึงมองว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ควรมีแค่ช่วงปิดเทอม จึงก่อตั้งกลุ่มอีสานจะเลิร์นขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมต่อตลอดทั้งปี
“แต่ละคนใช้ความถนัดของตนเอง สร้างกิจกรรมให้ทุกคน ‘อยากจะเลิร์น’ ” มะพร้าว สมาชิกกลุ่มอีสานจะเลิร์น กล่าว
อีสานจะเลิร์นมีบทบาทอย่างมากในการสร้าง ‘การศึกษาทางเลือก’ ให้แก่เด็กและเยาวชน เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับคนภายในจังหวัด และดึงคนที่หลุดจากระบบการศึกษาหลัก ให้กลับมามีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งวงเสวนา การถ่ายภาพ การแสดง การทำอาหาร การทำงานศิลปะ ทำให้เกิดทักษะชีวิตต่อตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรมและเกิดการสื่อสารระหว่างช่วงวัย เพราะแต่ละกิจกรรมไม่ได้จำกัดอายุ จึงเปิดโอกาสให้คนแต่ละรุ่นสามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้
“ดีใจที่ไม่ต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ …ปกติแล้ว กิจกรรมในลักษณะที่กลุ่มอีสานจะเลิร์นนำมาจัด มักมีแต่ในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ในต่างจังหวัดกลับมีน้อยมาก เวลาอยากทำกิจกรรมพวกนี้ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมกิจกรรม”
หนึ่งในคำพูดของผู้เข้าร่วมกิจกรรมวัยทำงาน อายุ 30 ปี ที่เดินทางมาจากอุดรธานี เพื่อมาเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อป ได้สะท้อนความรู้สึกถึงประสบการณ์ที่ได้รับ
ไม่เฉพาะในสองจังหวัดที่กล่าวมา ยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ต่างมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาและร่วมพัฒนาจังหวัดของตน ทุ่มเท ด้วยความหวังที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คน และเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาไปถึงผู้มีอำนาจในการพัฒนา คงเป็นเรื่องที่ดี หากพวกเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตในบ้านเกิดอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องดั้นด้นไปไกลบ้าน มีโอกาสในสายอาชีพต่าง ๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับหลายคน
‘อยากเห็นบ้านเกิดพัฒนา’
จึงเป็นทั้งคำบอกรักแก่ถิ่นกำเนิดและแนวทางในการการขับเคลื่อนชีวิตของตน
ความรักของ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่มีให้กับ ‘บ้านเกิด’
เรื่อง : วรัญชัย เจริญโชติ
ภาพ : อีสานจะเลิร์น , เสียงเยาวชนขอนแก่น : KK-VoY , ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์
คำถามที่บัณฑิตจบใหม่หลายคนมักโดนถามจากคนรอบตัว บางคนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะโอกาสทางการศึกษาสูงกว่า ทั้งชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย สื่อการสอน วิชาเรียนและสาขาวิชาที่หลากหลายกว่าสถาบันการศึกษาในบ้านเกิด รวมไปถึงโอกาสหางานของบางสายอาชีพที่สูงกว่า เช่น สายงานครีเอทีฟ สายงานศิลปะ สายงานธุรกิจ ทั้งหมดตอกย้ำถึงการกระจุกตัวของความเจริญด้านต่าง ๆ ในเมือง
ด้วยความผูกพันต่อบ้านเกิดของตน มีคนรุ่นใหม่อีกจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจเข้าเมืองมาเพื่อเปิดหูเปิดตา ตามล่าหาประสบการณ์ ด้วยความหวังที่อยากเห็นบ้านเกิดพัฒนาและเจริญเหมือนเมืองใหญ่ นิสิตนักศึกษาชวนจึงสำรวจพลังคนรุ่นใหม่กับความพยายามที่จะพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง
เต้-ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำงานการเมืองในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า เดิมทีตนไม่ได้เรียนในสายการเมืองมาก่อน แต่เรียนสถาปัตย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาที่เลือกเรียน คือสาขาผังเมือง ทำให้ตนมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบผังเมืองที่ดี จุดนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก กลับหันมาสนใจและต้องการกลับมาพัฒนา อยุธยา บ้านเกิดของตนให้ดียิ่งขึ้น
เต้ ทวิวงศ์ มองว่า จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดี เชื่อว่าสามารถผลักดันอยุธยาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวได้มากกว่าเดิม รวมทั้งศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนในจังหวัด เนื่องจากอยุธยาเป็นแหล่งที่ตั้งของโรงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง หากมีการพัฒนาและส่งเสริมที่ดีจากหน่วยงานรัฐ จะสามารถผลักดันเศรษฐกิจภายในจังหวัดให้ดีขึ้นได้
ขณะเดียวกัน อยุธยาก็ประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องน้ำท่วมซ้ำซ้อนเป็นประจำทุกปี กองภูเขาขยะที่เกิดจากการไม่มีระบบคัดแยกขยะ และระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ทั่วถึง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลถึงสุขภาวะของอยุธยาจนอาจกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่และไม่น่าเที่ยวอีกต่อไป หากไม่สามารถได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนจากภาคประชาชน นับเป็นทางออกของปัญหาดังกล่าวซึ่งมีทิศทางที่น่าสนใจ ภายในจังหวัดมีกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ที่เริ่มศึกษาปัญหาน้ำท่วมและขนส่งสาธารณะ มีการแลกเปลี่ยนระดมความคิดผ่านงานเสวนา ซึ่งทาง เต้ ทวิวงศ์ ได้ร่วมงานเสวนาดังกล่าว และได้ร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวทางการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค จ.พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในเครือข่ายภาคประชาสังคมที่กำลังดำเนินเรื่องขนส่งสาธารณะให้เกิดขึ้นจริง คนอยุธยาหลายคนต่างต้องการให้มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี เนื่องจากปัจจุบัน อยุธยาไม่มีท่ารถประจำทางเป็นหลักแหล่ง มีเพียงจุดจอดรถชั่วคราว ทำให้การเดินทางไม่สะดวกและล่าช้า
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาและภาคประชาสังคม นับเป็นสัญญาณที่ชี้ชัดว่าคนรุ่นใหม่ในจังหวัดต้องการเห็นอยุธยาดีขึ้น…ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้เห็นแล้วว่าคนอยุธยาต้องการการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นบ้านเกิดที่พัฒนา เริ่มเบื่อหน่ายกับการเมืองเดิม ๆ ที่ฉุดรั้งอยุธยาเอาไว้” เต้ ทวิวงศ์ กล่าว
หากอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะพบว่า จ.พระนครศรีอยุธยา นับว่าเป็นจังหวัดที่มี GDP สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคกลาง (ไม่นับรวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ทั้งยังได้รับจัดสรรงบประมาณส่วนท้องถิ่นจากส่วนกลางสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ด้วยศักยภาพที่กล่าวมา จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในจังหวัดให้ดีในหลาย ๆ ด้าน
คล้ายกับอยุธยา ขอนแก่น เป็นอีกจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ทั้งยังมี GDP ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะเดียวกัน ขอนแก่นก็ยังเป็นจังหวัดแรก ๆ ในประเทศที่มีการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในหลากหลายด้านจากคนรุ่นใหม่ซึ่งได้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดด้วยวิธีสร้างเครือข่าย สร้างสัมพันธ์ และสร้างองค์กรภาคประชาชนขึ้นมา
เสียงเยาวชนขอนแก่น : KK-VoY เครือข่ายประชาสังคมที่เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ ในภูมิภาคอีสาน เพื่อขับเคลื่อนประเด็นปัญหาแม่น้ำโขง เมื่อช่วงปี 2564 หลังจากเวลาผ่านไป จึงได้รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อขับเคลื่อนประเด็นปัญหาภายใน จ.ขอนแก่น โดยพวกเขาเล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาภายในจังหวัด และปัญหาของกลุ่มชุมชนริมทางรถไฟที่ถูกทำให้เป็น ‘คนชายขอบ’
“เมืองต้อง ‘มองเห็นทุกคน’ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อเมือง ไม่ควรมีใครต้องถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ ทุกคนควรได้รับการศึกษา และมีความเจริญเข้าถึงในทุกภาคส่วน”
ออม-ประทักษ์ ทาทอง นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม KK-VoY กล่าวถึงเมืองในทัศนะของเขาพร้อมเสริมว่า ขอนแก่นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซ้อน ทุกครั้งที่น้ำท่วม ชุมชนริมทางรถไฟซึ่งเป็นชุมชนที่เครือข่ายฯ ทำงานด้วย จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากชุมชนดังกล่าวไม่ได้มีสถานะเป็นชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานท้องถิ่น พวกเขาจึงถูกผลักให้เป็นคนชายขอบจากภาครัฐ ทำให้คนในชุมชนเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการและแหล่งน้ำสะอาด ณ ตอนนี้ ได้มีเยาวชนเริ่มพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมขึ้นมา หวังช่วยเหลือคนในชุมชนที่เข้าไม่ถึงการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ เพื่อให้พวกเขาสามารถเตรียมตัวและอพยพได้ทัน
“อย่างน้อยคนในชุมชนควรเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากรัฐ แต่รัฐกลับสื่อสารมาไม่ถึงพวกเขา เราได้ทดสอบระบบแจ้งเตือนและพบว่า เมื่อคนในชุมชนทราบข่าว พวกเขาก็สามารถอพยพได้ทันท่วงที” ประทักษ์กล่าว
แนวคิดของกลุ่ม อีสานจะเลิร์น องค์กรด้านการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายภาคประชาสังคมของคนรุ่นใหม่ที่ทำงานใน จ.ขอนแก่น ด้วยความตั้งใจสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับคนทุกกลุ่ม เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชน เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเครือข่ายนี้ มาจากโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งเล็งเห็นว่าช่วงปิดเทอมของนักเรียน ถือว่าเป็นสุญญากาศทางการศึกษา เพราะนักเรียนไม่ได้รับการเรียนรู้ จึงเกิดโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อหวังสร้างความรู้ด้านอื่น ๆ นอกห้องเรียนให้กับเด็ก ทว่าโครงการดังกล่าวกลับดำเนินการเฉพาะช่วงปิดเทอม เครือข่ายฯ จึงมองว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ควรมีแค่ช่วงปิดเทอม จึงก่อตั้งกลุ่มอีสานจะเลิร์นขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมต่อตลอดทั้งปี
“แต่ละคนใช้ความถนัดของตนเอง สร้างกิจกรรมให้ทุกคน ‘อยากจะเลิร์น’ ” มะพร้าว สมาชิกกลุ่มอีสานจะเลิร์น กล่าว
อีสานจะเลิร์นมีบทบาทอย่างมากในการสร้าง ‘การศึกษาทางเลือก’ ให้แก่เด็กและเยาวชน เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับคนภายในจังหวัด และดึงคนที่หลุดจากระบบการศึกษาหลัก ให้กลับมามีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งวงเสวนา การถ่ายภาพ การแสดง การทำอาหาร การทำงานศิลปะ ทำให้เกิดทักษะชีวิตต่อตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรมและเกิดการสื่อสารระหว่างช่วงวัย เพราะแต่ละกิจกรรมไม่ได้จำกัดอายุ จึงเปิดโอกาสให้คนแต่ละรุ่นสามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้
“ดีใจที่ไม่ต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ …ปกติแล้ว กิจกรรมในลักษณะที่กลุ่มอีสานจะเลิร์นนำมาจัด มักมีแต่ในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ในต่างจังหวัดกลับมีน้อยมาก เวลาอยากทำกิจกรรมพวกนี้ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมกิจกรรม”
หนึ่งในคำพูดของผู้เข้าร่วมกิจกรรมวัยทำงาน อายุ 30 ปี ที่เดินทางมาจากอุดรธานี เพื่อมาเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อป ได้สะท้อนความรู้สึกถึงประสบการณ์ที่ได้รับ
ไม่เฉพาะในสองจังหวัดที่กล่าวมา ยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ต่างมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาและร่วมพัฒนาจังหวัดของตน ทุ่มเท ด้วยความหวังที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คน และเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาไปถึงผู้มีอำนาจในการพัฒนา คงเป็นเรื่องที่ดี หากพวกเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตในบ้านเกิดอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องดั้นด้นไปไกลบ้าน มีโอกาสในสายอาชีพต่าง ๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับหลายคน
จึงเป็นทั้งคำบอกรักแก่ถิ่นกำเนิดและแนวทางในการการขับเคลื่อนชีวิตของตน
Share this: