Art & Culture

‘ถ้าเป็นลูกล่ะก็ จะต้องเหนือกว่าออลไมท์ได้แน่’ ศึกษาปัญหาการเลี้ยงดูผ่าน My Hero Academia

ใน My Hero Academia ผลงานของโคเฮย์ โฮริโคชิ ที่ฉายเป็นอนิเมะครั้งแรกในปี 2016 มีสิ่งที่เรียกว่า ‘อัตลักษณ์’ พลังเฉพาะตัวของแต่ละคน และ ‘ฮีโร่’ คนคอยปกป้องประชาชนจาก ‘วิลเลน’ แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าฮีโร่คือคนที่บ่มเพาะวิลเลนขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว?

เรื่อง : ญาณิศา ลิขิตอภิสิทธิ์
ภาพ : @MHAOfficial managed by Crunchyroll, My Hero Academia anime official account by Kohei Horikoshi (published by Shueisha Jump Comics)

‘ทำไปเพราะรัก’  ข้ออ้างยอดนิยมของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างผิดวิธี เป็นชนวนนำพาให้สมาชิกในครอบครัวห่างเหินออกจากกัน และเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงในบ้าน

นิสิตนักศึกษาชวนทำความเข้าใจบทบาทของสถาบันครอบครัวกับการเลี้ยงดูเด็ก ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาผลกระทบต่อการเติบโตของเด็ก ผ่านการ ‘ศึกษาชีวิตตัวละคร’ จากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง My Hero Academia ผลงานของโคเฮย์ โฮริโคชิ ที่ฉายเป็นอนิเมะครั้งแรกในปี 2016

เรื่องราวของตัวเอก อดีตเด็กหนุ่มไร้อัตลักษณ์ มิโดริยะ อิซึกุ ก่อนที่จะได้มาเป็นสุดยอดฮีโร่ แม้ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็หนีไม้พ้นการแย่งชิงพลังและอำนาจจากวายร้าย เมื่อนั้นเอง ฮีโร่คือคนที่จะปกป้องประชาชนจากความมืดที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว

โศกนาฏกรรมจากการปลูกฝังของครอบครัว

ในโลกแฟนตาซีของ My Hero Academia มีสิ่งที่เรียกว่า ‘อัตลักษณ์’ พลังเฉพาะตัวของแต่ละคน และ ‘ฮีโร่’ คืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จากอัตลักษณ์ได้สูงสุด เพื่อปกป้องประชาชนจากอันตราย หากมีคำถามว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ฮีโร่ก็มักจะเป็นอาชีพในฝันของเหล่าเด็ก ๆ

‘เอ็นเดเวอร์’ หรือ โทโดโรกิ เอ็นจิ โปรฮีโร่ อดีตอันดับ 2 รองจากออลไมท์ และผู้มีอัตลักษณ์ไฟนรก (Hellflame) คือชายผู้ล้มเหลวในหน้าที่ ‘พ่อ’ ในหลายครั้งเขามักกดดันลูกของตัวเอง วางกรอบและคาดหวังให้ลูกโดดเด่นกว่าใคร ๆ ความต้องการเป็นนัมเบอร์วันฮีโร่ และอยากเอาชนะคนอื่น กลับกลายมาเป็นความเคี่ยวที่บั่นทอนจิตใจลูก ๆ และครอบครัวของเขา

เมื่อเอ็นเดเวอร์ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นที่หนึ่งได้ เขาจึงเปลี่ยนจากการพยายามด้วยตัวเอง มาเป็นการผลักดันรุ่นลูกให้ก้าวสู่ความเป็นที่หนึ่งแทน ด้วยการพยายามมีลูกที่จะเกิดมาพร้อมอัตลักษณ์ครึ่งร้อน ครึ่งเย็น ความสมบูรณ์แบบที่เอ็นเดเวอร์ตามหา รวมถึงการกดดันภรรยาในการผลิตทายาทเพื่อพลังที่ว่านั้น

โทโดโรกิ โทยะ ลูกชายคนแรกของเอ็นเดเวอร์ที่เกิดมาพร้อมอัตลักษณ์บลูเฟรม (Blueflame) พลังที่รุนแรงยิ่งกว่าพ่อของเขา แต่ด้วยคุณสมบัติของร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก ทำให้การมีพลังไฟที่รุนแรงนั้นเพิ่มโอกาสในการโอเวอร์ฮีทจากความร้อนสูงตามไปด้วย ซึ่งอันตรายถึงชีวิต เอ็นเดเวอร์จึงค่อย ๆ ตัดใจและเลิกฝึกซ้อมให้โทยะไปในที่สุด พร้อมทั้งบอกโทยะให้ล้มความตั้งใจในการเป็นฮีโร่โดยไม่อธิบายเหตุผลให้เขารู้

‘ก็ยังมีแผลมาให้เห็นทุกวันแท้ ๆ โทยะน่ะ เหนือกว่าออลไมท์ไม่ได้หรอก’ เอ็นเดเวอร์กล่าวกับ ฮิมูระ เรย์ ผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าผิดหวังปนความคับแค้นใจ

ถึงเอ็นเดเวอร์จะบอกให้โทยะล้มเลิกความตั้งใจอาจเพราะความเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ แต่เมื่อเขาไม่บอกเหตุผล พร้อมด้วยการดุตะคอกโทยะอย่างรุนแรงในทุก ๆ ครั้งที่เขาจับได้ว่าโทยะยังไม่ล้มเลิกความคิดและไปฝึกอัตลักษณ์ด้วยตัวเอง คำพูดและการกระทำเหล่านั้นจึงสร้างบาดแผลทางจิตใจให้โทยะเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่ใช่เด็กทุกคนจะแข็งแกร่งและทนรับคำดูถูกได้โดยไม่รู้สึกอะไร เด็กที่พยายามจะเป็นฮีโร่เพื่อเป็นความภูมิใจให้ครอบครัวกลับสูญเสียประกายไฟในความฝันไป

โทยะคือเหยื่อของการเลี้ยงดูแบบควบคุม (Authoritarian Parenting Style) การเลี้ยงดูที่พ่อแม่คอยตีกรอบการใช้ชีวิตลูก มักเรียกร้องสูง อยากให้ลูกเป็นแบบที่ตนต้องการโดยไม่มีเหตุผลอธิบายหรือมีแต่ไม่เพียงพอแก่ลูก ซึ่งการเลี้ยงดูลักษณะนี้จะมีการลงโทษ ใช้ความรุนแรงทางกาย วาจา หรือสร้างความเสียหายต่อสภาพจิตใจ หากลูกไม่เป็นไปอย่างที่หวัง

เมื่อความต้องการของเอ็นเดเวอร์ยังไม่ถูกเติมเต็ม เขาจึงกดดันภรรยามากขึ้น ทำให้เกิดความไม่ลงรอย โดยเฉพาะช่วงที่ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ลูกคนต่อ ๆ มา เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวและบทบาทการเป็นพ่อแม่ได้แตกแยกออกจากกันจนเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ทั้งกับภรรยาและลูก

ฮิมูระ เรย์, โทโดโรกิ ฟุยุมิ และนัตสึโอะ

ต่อมา ภรรยาของเขาได้ให้กำเนิด โทโดโรกิ ฟุยุมิ ลูกสาวคนแรก และโทโดโรกิ นัตสึโอะ ลูกชายคนที่สอง โดยทั้งสองมีอัตลักษณ์น้ำแข็งที่ได้จากแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่อัตลักษณ์ตามที่เอ็นเดเวอร์ต้องการ ทำให้พวกเขาถูกเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง (Uninvolved Parenting Style) ซึ่งเป็นการที่ผู้ปกครองไม่ให้ความสนใจหรือให้น้อยมากต่อลูก ทั้งสองคนมักจะถูกปล่อยปละละเลย มีเพียงพี่น้องของตัวเองเท่านั้นที่คอยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ทั้งคู่จึงขาดความสนิทสนมหรือความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เป็นพ่อ

ในที่สุด เรย์ได้ให้กำเนิด โทโดโรกิ โชโตะ ลูกชายคนสุดท้องที่ได้รับถ่ายทอดอัตลักษณ์จากทั้งพ่อและแม่ เรียกได้ว่านี่คืออัตลักษณ์ที่เอ็นเดเวอร์ตามหา จึงทำให้โชโตะตกเป็นเหยื่ออีกหนี่งคนของการเลี้ยงดูแบบควบคุม เอ็นเดเวอร์ที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนโชโตะเป็นพิเศษได้กีดกันไม่ให้พี่น้องคนอื่น ๆ เล่นหรือสนิทสนมกับโชโตะเลย ซึ่งการกระทำของเขานั้นเป็นสิ่งที่โหดร้ายอย่างมากสำหรับเด็กอายุ 5 ขวบ แม้ผู้เป็นแม่จะออกตัวห้ามเพราะไม่เห็นด้วยกับการเอาลูกชายมาทรมานผ่านการบังคับฝึก แต่ก็ไม่เป็นผล

ด้านโทโยะที่เห็นน้องชายสามารถเติมเต็มความต้องการของพ่อได้ ทำให้ตัวเขาที่มีอัตลักษณ์ไฟเช่นเดียวกับพ่อและน้องชายนั้นรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้ง จนโทยะเกิดความขัดแย้งในใจ เขาเริ่มหลงทาง ไม่สามารถหาคำตอบในสิ่งที่ควรทำให้ตัวเองได้ และเกิดความทรมานจากความรู้สึกโดดเดี่ยว

‘ผมเองก็เหนือกว่าได้นะ ดูผมหน่อยสิ’

‘คุณพ่อเป็นคนจุดไฟเองนะ จะทำเหมือนมันไม่เคยมีเนี่ย ผมทำไม่ได้หรอก!’

‘ดูผมซะสิ.. เอ็นเดเวอร์’

ทว่าเอ็นเดเวอร์ไม่เคยหันหลังกลับไปมองลูกชายคนโตของตนเลย โทยะยังคงคิดอยู่ในใจเสมอว่าตัวเองไม่สามารถเป็น ‘ผลงานที่สมบูรณ์’ ให้พ่อได้ ทั้งยังเห็นพฤติกรรมของพ่อที่มักรุนแรงกับโชโตะอยู่เสมอ จนกระทั่งวันที่โทยะประสบอุบัติเหตุไฟไหม้จากอัตลักษณ์ของตน ซึ่งเกือบคร่าชีวิตเขาไป ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสายตรงข้าม และทำให้เขาสูญเสียตัวตนไปโดยปริยาย

แน่นอนว่ามีฮีโร่ก็ต้องมี ‘วิลเลน’ วายร้ายหรืออาชญากรที่ใช้อัตลักษณ์ในทางที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น บ้างก็อาจมีเจตนาร้าย บ้างก็อาจทำไปเพราะปมในวัยเด็ก โทยะก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อเขาก้าวสู่เส้นทางวิลเลน เขาได้ใช้ชื่อในวงการว่า ‘ดาบิ’

“ดูเหมือนว่าผมจะเป็นผลงานที่ล้มเหลว เลยถูกทิ้งและลืมไปทั้งแบบนั้น”

ดาบิ
มังงะตอนที่ 290

“ในชีวิตจริงเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงหรืออาชญากรรม ก็จะมีการย้อนดูอดีตว่าอะไรเป็นพื้นฐานพฤติกรรมของบุคคลนี้ที่ทำให้เกิดความรุนแรงในปัจจุบัน ส่วนตัวคิดว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวใช้ความรุนแรง ก็มีแนวโน้มถึงร้อยละ 80-90 ว่าจะใช้ความรุนแรงโดยมีพื้นฐานมาจากอดีตทั้งนั้นเลย” ปกรณ์ มีดวง ทนายความ กล่าวถึงข้อเท็จจริงซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่สะท้อนผ่านอนิเมะ

จากหนังสือโครงการสำรวจเรื่อง Troubled Childhood ที่เผยแพร่เมื่อปี 2561 ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ระบุเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยเชิงอาชญาวิทยาในอดีตว่า เด็กที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกควบคุมตัวใน ‘สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน’ จากการใช้ความรุนแรง เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้มักมีประวัติถูกกระทำรุนแรงโดยคนใกล้ชิดมาก่อน และผลสำรวจพบว่าร้อยละ 91 เป็นเพศชาย

ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาในโครงการเดียวกันเมื่อปี 2562 ได้อธิบายถึงหนึ่งในอาการจากภาวะความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งแสดงออกทางความคิดและการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น มองแง่ร้าย โทษตนเองหรือผู้อื่นตลอดเวลา เห็นได้ผ่านการตั้งคำถามในคุณค่าของตนเองหรือรู้สึกโกรธคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ โดยภาวะดังกล่าวพบในเยาวชนเป็นจำนวนไม่น้อย รวมถึงตัวละครซึ่งผ่านประสบการณ์ความรุนแรงอย่างดาบิ

พ่อ-แม่ รักหรือรังแกฉันกันแน่?

ความรักที่บิดเบี้ยวของพ่อแม่ซึ่งแสดงออกผ่านการเลี้ยงดูบุตรอย่างไม่เหมาะสม เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กหรือเยาวชนคนหนึ่งเติบโตมามีปมปัญหาและมีพฤติกรรมที่เป็นปรปักษ์ต่อครอบครัวหรือสังคม

“เด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบควบคุมจะเข้าใจว่าเขาต้องทำตามสั่ง ถ้ากรอบที่พ่อแม่ตีไว้หายไป เขาจะคิดนอกกรอบไม่ค่อยได้เท่าไหร่ และถ้าเขาทำผิดก็จะโดนลงโทษไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทำให้เขารู้สึกขาดการควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขา และการเลี้ยงดูลักษณะนี้ในระยะยาวก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เขาไม่ได้พัฒนาด้านการเป็นตัวของตัวเอง” ทระวิณ ชาลีรักษ์ตระกูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่และผลต่อพัฒนาการของเด็ก

ทระวิณยังอธิบายถึงผลเสียของการลงโทษเกินควรอีกว่า การกระทำเหล่านี้เป็นต้นแบบพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เด็กจะซึมซับจากครอบครัวที่มีพฤติกรรมรุนแรง ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เมื่อผู้ปกครองโมโหและแสดงความรุนแรงออกมา พอถึงเวลาที่เด็กทนไม่ได้ เด็กก็แสดงออกด้วยความรุนแรงเช่นเดียวกัน

การกระทำของดาบิตลอดเรื่องราวในอนิเมะล้วนสะท้อนถึงผลของการเลี้ยงดูในลักษณะนี้ อีกทั้งเขาไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับปรุงทัศนคติ ผู้ชมจึงได้เห็นถึงความยึดติดอยู่กับกรอบที่ถูกเอ็นเดเวอร์สร้างไว้ตั้งแต่เด็ก การขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง และเลือกใช้กำลังในการบรรเทาความโกรธแทน

แม้ตัวเขาจะละทิ้งชื่อโทยะไปเพื่อใช้ชีวิตอย่างวิลเลนในนามดาบิ ในหัวของเขานั้นกลับมีแต่เพียงความปรารถนาที่จะให้ครอบครัวหันมามอง และดาบิเชื่อว่าการเดินทางฝั่งตรงข้ามกับพ่อเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พ่อของเขานั้นเสียใจและเจ็บปวดกับการมองข้ามเขามาโดยตลอด

ครอบครัวอาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

การเลี้ยงดูแบบเข้มงวดเป็นสิ่งที่ปรากฏในอนิเมะ ทั้งยังสะท้อนสังคมของญี่ปุ่นและไทยถึงค่านิยมร่วมแบบดั้งเดิมที่มักบ่มเพาะลูกหลานให้มุ่งมั่นต่อการประสบความสำเร็จ

มายเซนเซ-นีรชา อินฟลูเอนเซอร์และคุณแม่ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของช่อง TikTok @ilovejapanth เล่าว่า “ในญี่ปุ่น หลายบ้านจะมีค่านิยมที่อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนดี ๆ ก็จะจับติวตั้งแต่ประถม หรืออนุบาลไปเลยก็มี สมัยก่อนจะมีความเชื่อว่ายิ่งเร็วยิ่งดี แต่ปัจจุบันมันมีการวิจัยออกมาแล้วว่ามันไม่ใช่เสมอไป รอให้เด็กพร้อมจะดีกว่า”

“ค่านิยม อยากให้ลูกฉันเก่ง อยากให้ลูกฉันเป็นแบบนั้น เป็นซูเปอร์แมนแบบนี้ จริง ๆ มันคือตัณหาของพ่อแม่ที่อยากตอบสนองความต้องการของสังคม” สลักจิต คำใส นักกิจกรรมเชิงพัฒนาสังคม กล่าวถึงค่านิยมการเลี้ยงดูบุตรในสังคมไทย

จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอเด็ก ๆ มาหลายรูปแบบตลอดการทำงานกว่า 20 ปี สลักจิตเห็นด้วยว่าการเลี้ยงลูกลักษณะนี้อาจส่งผลให้เด็กขาดความเป็นอิสระและการควบคุมตนเอง อันนำไปสู่ผลเชิงลบต่อเด็ก เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น ปัญหาสุขภาพจิตที่ตามมา

“ครอบครัวที่ไม่มี แต่พยายามทำให้เด็กมีตามหรือมีมากกว่าคนอื่น จะทำให้เด็กทะยานสูง ไม่ยอมรับสภาพที่เป็นจริงของตัวเอง และครอบครัวที่ครอบเด็กมากเกินไป ใช้อำนาจดูแล เด็กก็มีโอกาสแหกคอกสูง” สลักจิตเสริม

ดาบิ เป็นภาพแทนของหลายสิ่งที่ปรากฏในสังคม การเอาสิ่งที่เป็นลบมาเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิต เพราะความกดดัน ความเครียดสะสม หรือแม้กระทั่งความกลัวที่จะถูกทอดทิ้งล้วนกระตุ้นให้เด็กคนหนึ่งต้องเอาเป็นเอาตายกับการประสบความสำเร็จ และดาบิ คือหนึ่งในตัวอย่างนั้น แค่ชื่อในวงการวิลเลนของเขา ดาบิ ที่แปลว่าการเผาศพ (Cremation) ในภาษาญี่ปุ่น ก็เป็นนัยแห่งความโกรธแค้นแล้ว

คุณค่าของอนิเมะ

อนิเมะหรือมังงะเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของสังคมในรูปแบบที่ให้ความสนุก แต่ก็แฝงไปด้วยข้อคิดที่ชวนให้ผู้ชมได้พิจารณาตาม ในขณะเดียวกันก็มีผลกับสังคมญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน อัษฎายุทธ ชูศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

“เราทุกคนต้องเคยเป็นเด็ก เราต้องผ่านสื่ออะไรบางอย่างมา ทำให้เกิดการกล่อมเกลาในเรื่องคุณธรรม รวมถึงมาตรฐานเรื่องความรุนแรง ความลามก ทุกสิ่งอย่างมีทั้งด้านดีและไม่ดี หรือจะเรื่องความกล้า มันก็มีแนวคิดของการสู้กับความอยุติธรรม ทำให้คนดูรู้สึกอยากต่อกรกับสิ่งที่มันไม่ตรงกับความยุติธรรมในอุดมคติ”

อีกหนึ่งบทบาทของอนิเมะคือการช่วยขับเคลื่อนชีวิตและสังคม เช่น การมีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิต มีต้นแบบพฤติกรรมที่สอนให้เด็กเอาเป็นตัวอย่าง หรือแม้กระทั่งแฝงข้อคิดให้ผู้ใหญ่ที่ชมได้คิดตาม

My Hero Academia เป็นอนิเมะแนวโชเน็น (Shonen) ที่แปลได้ว่าเด็กหนุ่ม จึงถูกนำมาใช้เรียกประเภทวรรณกรรมที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นเพศชาย และมีตัวละครชายเป็นตัวนำ อัษฎายุทธยังอธิบายอีกว่า เรื่องไม่ดีที่ปรากฏในการ์ตูนโชเน็นที่มีการต่อสู้ หรือการ์ตูนที่ตัวละครต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็จะมีขอบเขตว่า การกระทำแบบไหนอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ ไม่เป็นพิษภัยสำหรับเด็ก ๆ ซึ่งก็เป็นการสร้างมาตรฐาน แบบแผนการใช้ชีวิตในสังคมอีกด้วย ขณะเดียวกันบางเรื่องก็มีการนำเสนอจุดอ่อนอื่น ๆ เช่น การหักหลัง แต่ตัวละครที่กระทำสิ่งนี้ก็จะถูกนำเสนอในลักษณะวายร้าย

บทบาทของอนิเมะสู่สังคม

 “สิ่งที่สังเกตได้ในการ์ตูนญี่ปุ่นคือความคิดถึงคนในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ และคุณจะดำเนินวิธีการอย่างไรก็ได้ในการดำรงความสัมพันธ์ให้คงอยู่” อัษฎายุทธกล่าว

จากเรื่องราวความขัดแย้งของครอบครัวโทโดโรกิจะเห็นได้ว่า มีการนำเสนอในแนวทางเดียวกับข้อสังเกตนี้ อีกทั้งอนิเมะเรื่องนี้ยังพาให้ผู้ชมเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน อันเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งผู้ชมสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปปรับใช้เป็นแนวทางการใช้ชีวิต การมีครอบครัวและการปฏิบัติต่อบุตรหลานในอนาคตได้

การหยิบเอาประเด็นใกล้ตัวอย่างเรื่องครอบครัวมานำเสนอ สามารถช่วยให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมไปกับสื่อที่รับได้มากขึ้น บทสรุปของความขัดแย้งในครอบครัวโทโดโรกิก็ได้เผยให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครในด้านต่าง ๆ ความรู้สึกในหลากหลายมิติ การตระหนักรู้ ความปรารถนาที่จะชดเชยความผิดในสิ่งที่พลาดไป และการพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว

‘อิทธิพลจากครอบครัว’ เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ My Hero Academia สามารถสะท้อนให้เห็นถึงต้นน้ำและปลายทางของการกระทำต่าง ๆ ได้อย่างดี ทำให้ผู้ชมเห็นถึงเบื้องหลังของวิลเลนที่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ในท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวต้องมาต่อสู้กันเอง เพราะจุดยืนในหน้าที่ที่ต่างกัน อันเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูอย่างไม่ถูกต้องจากครอบครัว

“ทั้งหมด เป็นความผิดของพ่อเอง”

เอ็นเดเวอร์
กล่าวกับดาบิในมังงะตอนที่ 387