เรื่อง : ชลลดา ไชยโรจน์วัฒนา
ภาพ : แสตมป์เบอรี่ และ สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
หากขอคำนิยาม ‘รักแรก’ ในสมัยวัยรุ่นของทุกคน บางคนอาจนึกถึงหน้าแฟนคนแรก รุ่นพี่ที่แอบปลื้ม หรือศิลปินที่ชื่นชอบ
กระนั้น รักแรกของหลาย ๆ คน อาจหมายรวมถึงหนังสือนิยายของเธอคนนี้เข้าไปด้วย
‘แสตมป์เบอรี่’ นักเขียนที่ครั้งหนึ่งเคยสร้าง ‘ความฟิน’ ผ่านหน้ากระดาษให้นักอ่านวัยใสหลายคนได้รู้จักกับคำว่าความรัก จนเลือดสูบฉีดทั่วใบหน้า หัวใจเต้นตุบ ๆ หุบยิ้มไม่ได้ เมื่อ ‘เขา’ และ ‘ยัยนั่น’ ในหนังสือนิยายเรื่องนั้น ๆ กำลังตกหลุมรักกัน
“เราอ่านตั้งแต่อยู่ประถม ตั้งแต่เซต 7’s จากนั้นก็ตามอ่านตามซื้อของแสตมป์เบอรี่มาเรื่อย ๆ เพราะเขาเขียนสนุก เวลามีหนังสือใหม่ ๆ มาลงที่ร้านหนังสือใกล้บ้าน เห็นนามปากกาแสตมป์เบอรี่เราก็จะซื้อทันที เพราะว่าเราเชื่อในฝีมือเขา”
ลิลลี่ นิสิตหญิงจุฬาฯ ชั้นปีที่ 4 พูดถึงความทรงจำวัยเด็กที่มีต่อนักเขียนท่านนี้ ก่อนที่เธอจะเลิกอ่านไปในช่วงวัยที่เติบโตขึ้นตามอายุ เพราะรู้สึกไม่ ‘อิน’ กับเนื้อหาแนวนี้อีกต่อไป กอปรกับการเข้ามาของแฟนฟิกชัน (Fan Fiction) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เธอจึงหันมาสนใจนิยายประเภทนี้มากกว่า
คนจำนวนไม่น้อยก็คล้ายกับลิลลี่ในตอนเด็ก ๆ กล่าวคือ เมื่อได้ลองอ่านนิยายรักวัยใสสักเล่มแล้ว ก็มักมีเล่มที่สอง สาม สี่ ห้า ตามมา เพราะรู้สึกว่านิยายของแสตมป์เบอรี่นั้นสนุก บนชั้นหนังสือที่บ้านใครหลายคนจึงเต็มไปด้วยนิยายของเธอ
เช่นเดียวกันกับ ทับทิม (นามสมมติ) บัณฑิตวัย 22 ปี ที่เริ่มติดตามอ่าน 7’s มาตั้งแต่ประถมปลาย จากการแนะนำของเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน
“เราชอบเพราะพลอตกับภาษาเข้าใจง่ายสำหรับเราในวัยนั้น มุมมองตัวละครมีความเป็นเด็กผู้หญิงสูง อ่านสนุก แม้ว่าโตมาแล้วมองย้อนกลับไปจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีจุดที่มีปัญหาเยอะอยู่ แต่ ณ ตอนนั้นที่เราอ่าน เราก็ไม่ได้ไปทำตาม (ตัวละคร) นะ”
แม้นักอ่านวัยใสหลายคนในวันนั้นได้กลายเป็นผู้ใหญ่ และอาจห่างหายไปจากนิยายรักวัยรุ่นแล้ว แต่แสตมป์เบอรี่ยังไม่หายไปไหน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
แตมมี่ แฟนคลับวัย 30 ปี ผู้ติดตามอ่านผลงานนิยายของแสตมป์เบอรี่ตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นจนถึงปัจจุบัน เล่าว่า จุดที่ทำให้ประทับใจและยังคงติดตามอยู่ คือความสนุกของนิยายที่เสมอต้นเสมอปลาย ความทันกระแสของมุกตลกซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
“มองแบบรวม ๆ ไม่เจาะจงนักเขียนท่านใดท่านหนึ่ง นิยายมันก็พัฒนาไปเยอะจากในอดีตนะคะ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะสังคม เทคโนโลยี และอื่น ๆ นักอ่านนิยายเขาจริงจังขึ้น อ่านแล้วมีการคิดวิเคราะห์ นักเขียนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้แน่น แต่ก็คงไว้ซึ่งกลิ่นอายการเขียนของตัวเองอยู่”
นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสชวนเธอมาพูดคุย เกี่ยวกับเส้นทางการเป็นนักเขียนตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เผื่อว่าอดีตนักอ่านตัวน้อยของเธอจะผ่านมาเห็น และได้ทบทวนถึงนิยามคำว่า ‘รักแรก’ บนหน้ากระดาษอีกครั้ง
Fact about แสตมป์เบอรี่ ที่คนอื่น (อาจ) ไม่รู้
แสตมป์เบอรี่นะคะ ชื่อจริง พิไลมาศ ค้ำชู จบการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกภาษาไทย บางคนก็อาจจะยังไม่รู้อายุ เพราะว่าถ้าบอกไปคงตกใจนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็อายุ 41 ปีแล้ว คนอาจจะคิดว่าอายุขนาดนี้ ทำไมยังแต่งนิยายวัยรุ่น รักใส ๆ ได้ ก็เพราะจิตใจมันยังเด็กอยู่นั่นเอง ตอนนี้มีผลงานนิยายมาเกือบ 70 เล่มแล้วค่ะ ระยะเวลาที่เขียนตั้งแต่เรื่องแรกมาจนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 20 ปีแล้ว
จุดเริ่มต้นหรือแรงบันดาลใจของการเป็นนักเขียน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหันมาสนใจเขียนนิยายแบบเต็มตัว ก็คือเริ่มมาจากตอนได้อ่านนิยายเรื่อง หนุ่มฮอตสาวเฮี้ยว รักเปรี้ยวอมหวาน ของสำนักพิมพ์แจ่มใสแล้วรู้สึกชอบมาก แต่ตอนนั้นนิยายรักของนักเขียนไทยไม่ค่อยมีแนวความรักวัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ก็เลยอยากลองเขียนบ้าง เพราะคิดว่าเราน่าจะเขียนได้ ประกอบกับปกหลังของหนังสือเล่มนี้มีข้อความเขียนไว้ว่า ‘สามารถส่งเรื่องของคุณมาลงได้ในเว็บไซต์แจ่มใส คอลัมน์แบ่งกันอ่าน’ ก็เลยลองเขียนนิยายของตัวเองลงเว็บไซต์ แล้วปรากฏว่ามีคนสนใจเยอะ ทางสำนักพิมพ์จึงติดต่อมา ให้เอาไปทำเป็นรูปเล่มนั่นเองค่ะ
อะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย นิยายเล่มแรก ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2547
ตอนนั้นเป็นยุคแรก ๆ ที่งานเขียน ‘บนดิน’ ส่วนใหญ่เป็นแนวน่ารักใส ๆ แต่ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย นิยายเรื่องแรกของเรา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับถุงยางอนามัย และพระเอกที่พยายามจ้องจะเคลมนางเอก ก็เลยติดเรทนิดหนึ่ง เลยเขียนชื่อเรื่องว่า ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย (18+) เข้าไปด้วย เราว่านี่คงเป็นจุดดึงดูดให้ทุกคนสนใจเข้ามาอ่าน เพราะสมัยนั้นไม่ค่อยมีนิยายติดเรทขนาดนี้ขึ้นมาอยู่บนดิน
ถ้าย้อนไปอ่านในปัจจุบันอาจรู้สึกว่าเนื้อเรื่องก็ไม่ได้เรทขนาดนั้น แต่สำหรับยุคนั้นก็ถือว่าค่อนข้างมาก พออ่านจริง ๆ ก็จะรู้ว่าเรื่องราวหรือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ก็คือความตลก และสำนวนที่มีความจิกกัด การทะเลาะกันระหว่างพระเอกกับนางเอก นอกจากนั้น เนื้อหายังค่อนข้างย่อยง่าย มีความสดใหม่ และทันสมัยประมาณหนึ่ง จึงน่าจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอ่านชอบ
แสตมป์เบอรี่ ที่งานสัปดาห์หนังสือ ปี พ.ศ.2566
จุดเริ่มต้นของ 7’s ที่แทบเรียกได้ว่าเป็นรักแรกของเด็กผู้หญิงทั่วประเทศ เกิดจากอะไร
จริง ๆ ก็อาจจะมีหลายคนไม่รู้ว่า ก่อนที่จะเขียนเซต 7’s มีนิยายเล่มเดี่ยวเล่มหนึ่งก็คือ วางแผนลับไล่จับหัวใจนายแบดกายส์ ซึ่งเรื่องนี้จะมีพระเอกชื่อซิลเวอร์ แล้วซิลเวอร์ก็มีน้องชายชื่อซัลเฟอร์ ปรากฏว่าคนอ่านชอบตัวละครซัลเฟอร์มาก อยากให้มีภาคต่อของซัลเฟอร์แยกออกมา เราก็เลยคิดว่า หรือจะเอาซัลเฟอร์มาเขียนอะไรสักอย่างให้เป็นภาพจำ เพราะนิยายเซต 4-6 คน เราก็เคยเขียนแล้ว เลยอยากลองเขียนนิยายเซตเจ็ดคนเพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับตัวเอง
ซัลเฟอร์ จึงเป็นตัวละครตั้งต้นในการเขียนแก๊งเจ็ดคน จากนั้นเราก็ต้องคิดว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี แต่ด้วยความที่ซัลเฟอร์เป็นคนฉลาดที่สุด พอมีคนฉลาดที่สุดแล้ว ก็ต้องมีคนรวยที่สุด คนหล่อที่สุด หรือสวยที่สุดในแก๊งด้วย อะไรแบบนี้ ก็ค่อย ๆ แตกยอดออกมาเป็นคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด สุดท้ายก็เลยกลายเป็น 7’s นี่แหละ
เรื่องไหนที่รู้สึกว่าเขียนยากหรือมีความท้าทายมากที่สุดในเซต 7’s
ถ้าใน 7’s ยากสุดน่าจะเป็น Idol’s Party น่ารักอย่างนี้…บอกทีว่าเลิฟ-เลิฟ เป็นเรื่องของวาเลนเซีย ดาราสาวประจำแก๊ง 7’s ที่ดันมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเอก ก็เลยคอยหาเรื่องแกล้งพระเอกตลอดเวลา คาแรคเตอร์วาเลนเซียจะเป็นคนร้าย ๆ นิดหนึ่ง แต่ตัวเราเป็นคนใจบาง เวลาจะเขียนให้แกล้งพระเอกแต่ละที ก็เหมือนเราฝืน ไม่อยากทำ อยากรีบเฉลย อยากหาอะไรมาช่วยตัวละคร มันก็เลยยากตรงที่จะทำยังไงให้ผ่านจุดนี้ไปได้ โดยที่เรายังคงรักษาคาแรคเตอร์นางเอกไว้ได้อยู่
ต่อยอดความสำเร็จจาก 7’s สู่ 7’x มีประเด็นอะไรที่สแตมป์เบอรี่ตั้งใจสื่อสารให้ต่างจาก 7’s
หลัก ๆ เลยก็น่าจะเป็นคาแรคเตอร์ค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่า 7’s จะเป็นคนเก่ง สวย รวย หล่อ พอมาเป็น 7’x เลยอยากอัปเกรดความสามารถพิเศษตัวละครให้มีความท้าทายมากขึ้น เลยสร้างคาแรคเตอร์เป็นอดีตนักพนันบ้าง นักมายากลบ้าง ซึ่ง 7’x เหล่านี้เป็นแก๊งเยาวชนที่เคยทำผิดพลาดหรือเคยติดคุกมา และอยากจะแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น เราเลยใส่เบื้องหลังตัวละครให้มีเรื่องราวมากขึ้นค่ะ
7’x มีเนื้อเรื่องเข้มข้นและ ‘ขม’ มากขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นการเติบโตทางงานเขียนของแสตมป์เบอรี่ด้วยหรือเปล่า
ไม่แน่ใจว่ามันคือการเติบโตทางงานเขียนหรือเปล่า แต่อาจเพราะเราเขียนนิยายมาเยอะมาก ๆ ส่วนใหญ่เป็นรักใส ๆ พระเอกนางเอกตีกัน ทะเลาะกันไปมา สุดท้ายก็ดีกัน รักกันแล้วจบ ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าเบื่อแล้ว อยากเขียนอะไรที่มีเรื่องราวเข้มข้น มีอุปสรรค ปมปัญหา มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือให้คติสอนใจคนอ่าน ไม่ใช่นิยายเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน
อย่าง 7’s ก็คือเอาสนุกอย่างเดียว ไม่ได้สอดแทรกอะไรไว้เลย แต่พอมาเป็น 7’x ก็พยายามทำให้แต่ละตัวละครมีมิติมากขึ้น พร้อมเรื่องราวที่สามารถสอนใจคนอ่านได้ด้วย
ชวนคุยถึงเรื่องราวของไอวีส์ จากตอน Lady Liar ลวงรักจับผิดหัวใจยัยจอมโกหก ในเซต 7’x ที่ได้รับการขนานนามจากคนอ่านว่า ‘ดรามา’ ที่สุด
เล่มนี้เขียนยาก ปมเยอะมาก หลอกกันไปมาหลายตลบ เนื่องจากเราเริ่มเบื่อคาแรคเตอร์นางเอกน่ารักใส ๆ แล้วไอวีส์จะต้องเป็นคนที่ชอบโกหกด้วย เพราะงั้นเราเลยต้องพยายามหากลเม็ด หรือเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้ไอวีส์ต้องโกหกคนอื่น และสุดท้าย นิยายเรื่องนี้ก็สามารถให้คติคนอ่านได้ว่าทำไมเราถึงไม่ควรโกหก แล้วการโกหกมันส่งผลเสียอะไรกับเราบ้างในตอนสุดท้าย
7’s และ 7’x มีตัวละครในจักรวาลที่เกี่ยวข้องกันเยอะมาก หาจุดสมดุลพร้อมสร้างความสนุกของเรื่องได้อย่างไร
อย่างที่ทราบกันว่าตัวละครในเซตนี้ค่อนข้างเยอะ เราเลยพยายามดึงคาแรคเตอร์ของแต่ละคนที่ชัด ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น สมมติว่าตัวละครใน 7’x อยากได้ของแพง ๆ หรือเฮลิคอปเตอร์สักลำก็ต้องไปติดต่อคิไรส์ (จากเรื่อง [7’s] So What ! สวย แสบ ซ่าส์ มีปัญหามั้ยคะสุดหล่อ) ถ้าอยากได้ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ไปช่วยจีบคนนั้นคนนี้ก็จะนึกถึงลีเทย์ เราพยายามคิดพลอตที่สามารถโยงไปหาพวกรุ่นพี่ได้ เพื่อแก๊ง 7’s มาปรากฏตัวในเรื่องของรุ่นน้องแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ เราก็ไม่ได้เอามารวดเดียวทั้งเจ็ดคน ส่วนใหญ่เน้นไปที่บัดดี้ของเจ้าตัวเป็นหลักมากกว่า ซึ่งช่วงสุดท้ายของทุกเรื่องเราก็จะมีงานสวีทฮาร์ตหรืองานที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อลงมติให้ว่าที่แฟนของสมาชิกแก๊ง ได้ผ่านไปเป็น ‘แฟน’ อย่างเป็นทางการ ทุกคนก็จะมาปรากฏตัว มีบทคนละนิดละหน่อยให้หายคิดถึง
Boy For Rent จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เคยสร้างความฮือฮา ด้วยการเปลี่ยนแนวจากนิยายรักใส ๆ มาเป็นนิยายรักผู้ใหญ่ ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของนิยายชุดนี้หน่อย
ตอนนั้นเราสนิทกับ ‘เจ้าหญิงผู้เลอโฉม’ หนึ่งในนักเขียนของสำนักพิมพ์แจ่มใส เลยชวนมาเขียนนิยายด้วยกัน แล้วพอดีช่วงนั้นเราสองคนก็สนิทกับพี่แฝด ซึ่งเป็นนักวาดปกของเซต 7’s กับ 7’x พวกเราคุยกันว่าจะมาร่วมงานกัน ทำโปรเจกต์อะไรสักอย่างที่เป็นผลงานของเราสามคน จึงเกิดเป็น Boy For Rent ขึ้น แต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะทำเป็นแนว 18+ แค่คิดพลอตขึ้นมาว่าจะทำเรื่องผู้ชายให้เช่านะ จะมีสองคู่ ประมาณนี้
เราก็แยกย้ายกันไปเขียนกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม พอเขียนจบปุ๊บ ส่งไปที่สำนักพิมพ์ เขาก็กังวลว่าพลอตมันแรงมากเลยนะ มันเป็นการเช่าผู้ชาย แล้วก็มีปมเรื่องบางอย่างที่อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก สำนักพิมพ์ก็เลยเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ปรับเป็น 18+ เลยดีไหม เพื่อที่จะได้คัดกรองอายุของผู้อ่าน หรือต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ทีนี้พอโจทย์ตีกลับมาว่าต้องเป็น 18+ ที่เราเขียนไปรอบแรกมันก็ยังก้ำกึ่ง มันยังไม่ 18+ เสียทีเดียว แค่มันไม่เหมาะสำหรับเด็กเฉย ๆ ถ้าคนที่เขาคาดหวังแนว 18+ จริง ๆ มาอ่าน เขาก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่เห็นมีอะไรเลย เราก็เลยกลับมาแก้กันใหม่ เพิ่มฉากที่มีความซับซ้อนร้อนแรงมากขึ้น
พอเป็นนิยายผู้ใหญ่ มีความท้าทายอะไรตามมาบ้าง
แน่นอนค่ะ ก็คือทุกอย่างมันต้องโตขึ้นทั้งหมดเลย ทั้งอายุตัวละคร สำนวนในการเขียน แล้วก็ความคิดต่าง ๆ ของตัวละคร ที่สำคัญสุดคือ ฉากเลิฟซีนก็จะต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงการบรรยายที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ
แสตมป์เบอรี่กับหนังสือนิยายเรื่อง Badz – Boy For Rent
เมื่อแนวคิดและค่านิยมในสังคมไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ส่งผลต่อสื่อบันเทิงในอดีต รวมทั้งนิยายของแสตมป์เบอรี่ที่เกิดกระแสดรามาด้วย เช่น นิยายเรื่อง Boy’s Paradise แผนรักชุลมุนจับคุณผู้ชายมาให้ฟิน ที่มีการตั้งคำถามจากนักอ่านเรื่องการไม่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ
จริง ๆ เราโดนหลายประเด็นมาก ไม่ใช่แค่นิยายเรื่องนี้ เรื่อง ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย ก็ด้วยเหมือนกัน ที่มีประเด็นเรื่องนางเอกเคี้ยวถุงยาง ซึ่งเราก็เข้าใจนะ เพราะว่าในยุคนั้นที่เราเขียนกับยุคนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ตกผลึกอะไรมากมายนัก
อย่างบริบทสังคมตอนนั้นก็ยังไม่ยอมรับในเรื่องการเป็น LGBTQ+ หญิงรักหญิง ชายรักชาย ตอนที่เราเขียน Boy’s Paradise ขึ้นมา เราก็แค่เตือนว่าไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้คนต้องเป็นแบบนี้นะ เพื่อที่จะบอกผู้ปกครองที่เขาไม่อยากให้เด็ก ๆ มาทำตามที่เราเขียน แต่มันก็เป็นดรามาขึ้นมา จากคำพูดที่เราอาจจะสื่อสารออกไปได้ไม่ดี แต่เจตนาจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการจะเหยียด หรือต้องการที่จะมาบูลลี่ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ที่เราไม่ได้ออกไปตอบโต้ เพราะยิ่งเราออกไปพูดอะไรแบบนี้ มันอาจจะมีคำพูดบางอย่างที่เราไตร่ตรองได้ไม่ดีพอ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาทำให้ยิ่งกลายเป็นประเด็นเข้าไปอีก
แต่ว่าเราเก็บเอาจุดที่เคยโดนติ โดนวิจารณ์ โดนว่ามาแก้ไขใหม่ แล้วก็พัฒนาในงานต่อ ๆ ไปของเรา ไม่ให้เป็นแบบนั้นอีก ถ้าเกิดว่าคนที่ได้อ่าน 7’x เล่มล่าสุดที่เป็นของซีเจย์ ก็จะเห็นว่าเนื้อเรื่องเป็นการส่งเสริมเรื่อง LGBTQ+ แบบเต็มตัว ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
งานเก่า ๆ ที่เคยพลาดไปแล้ว เราเคยแกะเนื้อเรื่องออกมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมจริง ๆ ทั้งการใช้คำพูดเหยียด บุลลี หรือว่าเป็นการแสดงออกในลักษณะคุกคาม เราก็จะเอาไปปรับปรุงแก้ไขทั้งหมดก่อนจะตีพิมพ์ใหม่
สุดท้ายนี้ เราคงแก้ไขงานเก่าไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราเอามาทำใหม่ อันนั้นเราต้องแก้ไขจริง ๆ แล้วก็เรื่องใหม่ ๆ ที่เราเขียน เราก็ไม่ควรจะกลับไปทำแบบนั้นอีกแล้ว ที่ผ่านมาก็ให้มันเป็น ‘ดิจิทัลฟุตปรินท์’ ต่อไป
ช่วงหลัง ๆ แสตมป์เบอรี่มีการรีไรท์ผลงานเก่า ๆ ให้สอดคล้องกับค่านิยมในสังคมปัจจุบัน อยากทราบว่ามีอะไรในเนื้อหาที่สแตมป์เบอรี่ลบทิ้งหรือคงไว้เหมือนเดิม
ก็หลาย ๆ อย่างเลยค่ะ อย่างพวกเซต Psycho ที่เอามาทำใหม่ ก็มีการประชุมกันกับบรรณาธิการและฝ่ายรีไรท์ ให้ลิสต์มาทั้งหมดเลยว่าตรงไหนที่มันเป็นจุดสุ่มเสี่ยงหรือว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นมุกที่ไม่ควรเอามาเล่นในยุคนี้ ก็ไฮไลท์แล้วแก้ไขใหม่ทั้งหมด แต่ว่าโครงเรื่องก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้มาก
กรณีเรื่อง ยัยเวอร์จิ้นปิ้งรักนักเพลย์บอย ที่พระเอกพยายามอยากได้เวอร์จินของนางเอกก็ยังคงไว้เหมือนเดิม แต่เราก็จะไปเน้นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่าสิ่งที่พระเอกคิดหรือทำอยู่มันไม่ถูกต้อง ทำให้พระเอกตระหนักได้ในจุดนี้ คือเราจะไม่โรแมนติไซส์มันว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี ถ้ามันผิดเราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันผิด และมันสามารถแก้ไขยังไงได้บ้าง สรุปก็คือโครงเรื่องยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เราแค่ชี้ให้เห็นปัญหาและการแก้ไข ให้คนอ่านเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นเอง
ช่วยบรรยายถึงความรักความผูกพันที่มีต่อตัวละคร รวมทั้งนักอ่านของตัวเอง
กับตัวละคร อย่างที่บอกว่า 7’s และ 7’x เป็นอะไรที่ผูกพันมาก ๆ ถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเลย ทำให้เราเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะรู้จักมาตั้งแต่เซต Psycho แล้ว หรือรู้จักมาจาก 7’s กับ 7’x
เพราะงั้นคนก็จะเห็นว่าทำไมยังไม่จบสักที ทำไมยังมี 7’boyz ออกมาอีก ที่ไม่อยากให้จบเพราะเราผูกพันกับตัวละคร เรายังคิดถึงเขา เรายังอยากให้เขาโผล่มาในงานเขียนเราเรื่อย ๆ ถ้าเกิดมันไม่ต่อยอดมาเป็นเจ็ดอื่น ๆ จะให้ตัวละครไปโผล่เล่มอื่นก็ไม่ใช่ละ เพราะเป็นคนละจักรวาลกัน คนละเมือง คนละประเทศ มันก็ไม่สามารถไปโผล่พร่ำเพรื่อได้
ก็เลยจำเป็นที่จะต้องคงไว้ซึ่งเซตเจ็ดคน เป็นผลที่ทำให้ยังมี 7’boyz ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนนักอ่านก็คือผูกพันกับทุกคนมาก ๆ แล้วก็จะเขินเวลาทุกคนบอกว่า “เนี่ย หนูอ่านมาตั้งแต่สมัย…” หรือ “หนูอ่านมาตั้งแต่ยุคนั้น หนูติดตามพี่มาตั้งแต่หนูยังใส่คอซอง จนตอนนี้หนูมีลูกแล้ว” เรารู้สึกว่าเออ เขาโตมากับเราจริง ๆ แล้วเราก็โตไปกับเขาด้วย ยังรู้สึกว่าเขายังเป็นเซฟโซนของเรา เป็นความอบอุ่นของเรา ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องอะไรหนัก ๆ มาแค่ไหน ทุกคนก็ยังพร้อมจะเข้าใจ แล้วก็ซัปพอร์ตไม่ได้ทิ้งไปไหน ก็ดีใจมาก ๆ แล้วก็ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
เส้นทางการเป็นนักเขียนของ แสตมป์เบอรี่ เชื่อมโยงกับประโยคที่ว่า “La lecture est une amitié” หรือ การอ่านเป็นดั่งมิตรภาพ ได้อย่างดี ประโยคนี้ปรากฏในผลงานเขียนชื่อ Sur la lecture ของ Marcel Proust นักเขียนคนสำคัญชาวฝรั่งเศส สำหรับ Proust การอ่านไม่ใช่เพียงการหาความรู้ แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ เป็นความใกล้ชิด จากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและชีวิตของตัวละคร ความสัมพันธ์นี้จึงไม่ต่างจากความผูกพันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ด้วยเหตุนี้ การอ่านจึงเป็นกิจกรรมที่สะท้อนความผูกพันของมนุษย์ ทั้งในระดับปัจเจกดังที่กล่าวไป และในระดับหมู่คณะ เช่นการรวมกลุ่มของผู้ที่รักชอบผลงานเขียนของนักเขียน…
ดูเหมือนว่า ตัวหนังสือของ แสตมป์เบอรี่ ก็ก่อให้เกิด ‘มิตรภาพ’ อันงดงามเช่นกัน
แสตมป์เบอรี่กับงานหนังสือที่เวียงจันทน์ ปี พ.ศ. 2562
เรื่อง : ชลลดา ไชยโรจน์วัฒนา
ภาพ : แสตมป์เบอรี่ และ สุรีย์พัศ เมธาไมตรี
หากขอคำนิยาม ‘รักแรก’ ในสมัยวัยรุ่นของทุกคน บางคนอาจนึกถึงหน้าแฟนคนแรก รุ่นพี่ที่แอบปลื้ม หรือศิลปินที่ชื่นชอบ
กระนั้น รักแรกของหลาย ๆ คน อาจหมายรวมถึงหนังสือนิยายของเธอคนนี้เข้าไปด้วย
‘แสตมป์เบอรี่’ นักเขียนที่ครั้งหนึ่งเคยสร้าง ‘ความฟิน’ ผ่านหน้ากระดาษให้นักอ่านวัยใสหลายคนได้รู้จักกับคำว่าความรัก จนเลือดสูบฉีดทั่วใบหน้า หัวใจเต้นตุบ ๆ หุบยิ้มไม่ได้ เมื่อ ‘เขา’ และ ‘ยัยนั่น’ ในหนังสือนิยายเรื่องนั้น ๆ กำลังตกหลุมรักกัน
“เราอ่านตั้งแต่อยู่ประถม ตั้งแต่เซต 7’s จากนั้นก็ตามอ่านตามซื้อของแสตมป์เบอรี่มาเรื่อย ๆ เพราะเขาเขียนสนุก เวลามีหนังสือใหม่ ๆ มาลงที่ร้านหนังสือใกล้บ้าน เห็นนามปากกาแสตมป์เบอรี่เราก็จะซื้อทันที เพราะว่าเราเชื่อในฝีมือเขา”
ลิลลี่ นิสิตหญิงจุฬาฯ ชั้นปีที่ 4 พูดถึงความทรงจำวัยเด็กที่มีต่อนักเขียนท่านนี้ ก่อนที่เธอจะเลิกอ่านไปในช่วงวัยที่เติบโตขึ้นตามอายุ เพราะรู้สึกไม่ ‘อิน’ กับเนื้อหาแนวนี้อีกต่อไป กอปรกับการเข้ามาของแฟนฟิกชัน (Fan Fiction) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เธอจึงหันมาสนใจนิยายประเภทนี้มากกว่า
คนจำนวนไม่น้อยก็คล้ายกับลิลลี่ในตอนเด็ก ๆ กล่าวคือ เมื่อได้ลองอ่านนิยายรักวัยใสสักเล่มแล้ว ก็มักมีเล่มที่สอง สาม สี่ ห้า ตามมา เพราะรู้สึกว่านิยายของแสตมป์เบอรี่นั้นสนุก บนชั้นหนังสือที่บ้านใครหลายคนจึงเต็มไปด้วยนิยายของเธอ
เช่นเดียวกันกับ ทับทิม (นามสมมติ) บัณฑิตวัย 22 ปี ที่เริ่มติดตามอ่าน 7’s มาตั้งแต่ประถมปลาย จากการแนะนำของเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน
“เราชอบเพราะพลอตกับภาษาเข้าใจง่ายสำหรับเราในวัยนั้น มุมมองตัวละครมีความเป็นเด็กผู้หญิงสูง อ่านสนุก แม้ว่าโตมาแล้วมองย้อนกลับไปจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีจุดที่มีปัญหาเยอะอยู่ แต่ ณ ตอนนั้นที่เราอ่าน เราก็ไม่ได้ไปทำตาม (ตัวละคร) นะ”
แม้นักอ่านวัยใสหลายคนในวันนั้นได้กลายเป็นผู้ใหญ่ และอาจห่างหายไปจากนิยายรักวัยรุ่นแล้ว แต่แสตมป์เบอรี่ยังไม่หายไปไหน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
แตมมี่ แฟนคลับวัย 30 ปี ผู้ติดตามอ่านผลงานนิยายของแสตมป์เบอรี่ตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นจนถึงปัจจุบัน เล่าว่า จุดที่ทำให้ประทับใจและยังคงติดตามอยู่ คือความสนุกของนิยายที่เสมอต้นเสมอปลาย ความทันกระแสของมุกตลกซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
“มองแบบรวม ๆ ไม่เจาะจงนักเขียนท่านใดท่านหนึ่ง นิยายมันก็พัฒนาไปเยอะจากในอดีตนะคะ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะสังคม เทคโนโลยี และอื่น ๆ นักอ่านนิยายเขาจริงจังขึ้น อ่านแล้วมีการคิดวิเคราะห์ นักเขียนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้แน่น แต่ก็คงไว้ซึ่งกลิ่นอายการเขียนของตัวเองอยู่”
นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสชวนเธอมาพูดคุย เกี่ยวกับเส้นทางการเป็นนักเขียนตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เผื่อว่าอดีตนักอ่านตัวน้อยของเธอจะผ่านมาเห็น และได้ทบทวนถึงนิยามคำว่า ‘รักแรก’ บนหน้ากระดาษอีกครั้ง
Fact about แสตมป์เบอรี่ ที่คนอื่น (อาจ) ไม่รู้
แสตมป์เบอรี่นะคะ ชื่อจริง พิไลมาศ ค้ำชู จบการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกภาษาไทย บางคนก็อาจจะยังไม่รู้อายุ เพราะว่าถ้าบอกไปคงตกใจนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็อายุ 41 ปีแล้ว คนอาจจะคิดว่าอายุขนาดนี้ ทำไมยังแต่งนิยายวัยรุ่น รักใส ๆ ได้ ก็เพราะจิตใจมันยังเด็กอยู่นั่นเอง ตอนนี้มีผลงานนิยายมาเกือบ 70 เล่มแล้วค่ะ ระยะเวลาที่เขียนตั้งแต่เรื่องแรกมาจนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 20 ปีแล้ว
จุดเริ่มต้นหรือแรงบันดาลใจของการเป็นนักเขียน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหันมาสนใจเขียนนิยายแบบเต็มตัว ก็คือเริ่มมาจากตอนได้อ่านนิยายเรื่อง หนุ่มฮอตสาวเฮี้ยว รักเปรี้ยวอมหวาน ของสำนักพิมพ์แจ่มใสแล้วรู้สึกชอบมาก แต่ตอนนั้นนิยายรักของนักเขียนไทยไม่ค่อยมีแนวความรักวัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ก็เลยอยากลองเขียนบ้าง เพราะคิดว่าเราน่าจะเขียนได้ ประกอบกับปกหลังของหนังสือเล่มนี้มีข้อความเขียนไว้ว่า ‘สามารถส่งเรื่องของคุณมาลงได้ในเว็บไซต์แจ่มใส คอลัมน์แบ่งกันอ่าน’ ก็เลยลองเขียนนิยายของตัวเองลงเว็บไซต์ แล้วปรากฏว่ามีคนสนใจเยอะ ทางสำนักพิมพ์จึงติดต่อมา ให้เอาไปทำเป็นรูปเล่มนั่นเองค่ะ
อะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย นิยายเล่มแรก ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2547
ตอนนั้นเป็นยุคแรก ๆ ที่งานเขียน ‘บนดิน’ ส่วนใหญ่เป็นแนวน่ารักใส ๆ แต่ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย นิยายเรื่องแรกของเรา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับถุงยางอนามัย และพระเอกที่พยายามจ้องจะเคลมนางเอก ก็เลยติดเรทนิดหนึ่ง เลยเขียนชื่อเรื่องว่า ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย (18+) เข้าไปด้วย เราว่านี่คงเป็นจุดดึงดูดให้ทุกคนสนใจเข้ามาอ่าน เพราะสมัยนั้นไม่ค่อยมีนิยายติดเรทขนาดนี้ขึ้นมาอยู่บนดิน
ถ้าย้อนไปอ่านในปัจจุบันอาจรู้สึกว่าเนื้อเรื่องก็ไม่ได้เรทขนาดนั้น แต่สำหรับยุคนั้นก็ถือว่าค่อนข้างมาก พออ่านจริง ๆ ก็จะรู้ว่าเรื่องราวหรือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ก็คือความตลก และสำนวนที่มีความจิกกัด การทะเลาะกันระหว่างพระเอกกับนางเอก นอกจากนั้น เนื้อหายังค่อนข้างย่อยง่าย มีความสดใหม่ และทันสมัยประมาณหนึ่ง จึงน่าจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอ่านชอบ
แสตมป์เบอรี่ ที่งานสัปดาห์หนังสือ ปี พ.ศ.2566
จุดเริ่มต้นของ 7’s ที่แทบเรียกได้ว่าเป็นรักแรกของเด็กผู้หญิงทั่วประเทศ เกิดจากอะไร
จริง ๆ ก็อาจจะมีหลายคนไม่รู้ว่า ก่อนที่จะเขียนเซต 7’s มีนิยายเล่มเดี่ยวเล่มหนึ่งก็คือ วางแผนลับไล่จับหัวใจนายแบดกายส์ ซึ่งเรื่องนี้จะมีพระเอกชื่อซิลเวอร์ แล้วซิลเวอร์ก็มีน้องชายชื่อซัลเฟอร์ ปรากฏว่าคนอ่านชอบตัวละครซัลเฟอร์มาก อยากให้มีภาคต่อของซัลเฟอร์แยกออกมา เราก็เลยคิดว่า หรือจะเอาซัลเฟอร์มาเขียนอะไรสักอย่างให้เป็นภาพจำ เพราะนิยายเซต 4-6 คน เราก็เคยเขียนแล้ว เลยอยากลองเขียนนิยายเซตเจ็ดคนเพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับตัวเอง
ซัลเฟอร์ จึงเป็นตัวละครตั้งต้นในการเขียนแก๊งเจ็ดคน จากนั้นเราก็ต้องคิดว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี แต่ด้วยความที่ซัลเฟอร์เป็นคนฉลาดที่สุด พอมีคนฉลาดที่สุดแล้ว ก็ต้องมีคนรวยที่สุด คนหล่อที่สุด หรือสวยที่สุดในแก๊งด้วย อะไรแบบนี้ ก็ค่อย ๆ แตกยอดออกมาเป็นคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด สุดท้ายก็เลยกลายเป็น 7’s นี่แหละ
เรื่องไหนที่รู้สึกว่าเขียนยากหรือมีความท้าทายมากที่สุดในเซต 7’s
ถ้าใน 7’s ยากสุดน่าจะเป็น Idol’s Party น่ารักอย่างนี้…บอกทีว่าเลิฟ-เลิฟ เป็นเรื่องของวาเลนเซีย ดาราสาวประจำแก๊ง 7’s ที่ดันมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเอก ก็เลยคอยหาเรื่องแกล้งพระเอกตลอดเวลา คาแรคเตอร์วาเลนเซียจะเป็นคนร้าย ๆ นิดหนึ่ง แต่ตัวเราเป็นคนใจบาง เวลาจะเขียนให้แกล้งพระเอกแต่ละที ก็เหมือนเราฝืน ไม่อยากทำ อยากรีบเฉลย อยากหาอะไรมาช่วยตัวละคร มันก็เลยยากตรงที่จะทำยังไงให้ผ่านจุดนี้ไปได้ โดยที่เรายังคงรักษาคาแรคเตอร์นางเอกไว้ได้อยู่
ต่อยอดความสำเร็จจาก 7’s สู่ 7’x มีประเด็นอะไรที่สแตมป์เบอรี่ตั้งใจสื่อสารให้ต่างจาก 7’s
หลัก ๆ เลยก็น่าจะเป็นคาแรคเตอร์ค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่า 7’s จะเป็นคนเก่ง สวย รวย หล่อ พอมาเป็น 7’x เลยอยากอัปเกรดความสามารถพิเศษตัวละครให้มีความท้าทายมากขึ้น เลยสร้างคาแรคเตอร์เป็นอดีตนักพนันบ้าง นักมายากลบ้าง ซึ่ง 7’x เหล่านี้เป็นแก๊งเยาวชนที่เคยทำผิดพลาดหรือเคยติดคุกมา และอยากจะแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น เราเลยใส่เบื้องหลังตัวละครให้มีเรื่องราวมากขึ้นค่ะ
7’x มีเนื้อเรื่องเข้มข้นและ ‘ขม’ มากขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นการเติบโตทางงานเขียนของแสตมป์เบอรี่ด้วยหรือเปล่า
ไม่แน่ใจว่ามันคือการเติบโตทางงานเขียนหรือเปล่า แต่อาจเพราะเราเขียนนิยายมาเยอะมาก ๆ ส่วนใหญ่เป็นรักใส ๆ พระเอกนางเอกตีกัน ทะเลาะกันไปมา สุดท้ายก็ดีกัน รักกันแล้วจบ ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าเบื่อแล้ว อยากเขียนอะไรที่มีเรื่องราวเข้มข้น มีอุปสรรค ปมปัญหา มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือให้คติสอนใจคนอ่าน ไม่ใช่นิยายเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน
อย่าง 7’s ก็คือเอาสนุกอย่างเดียว ไม่ได้สอดแทรกอะไรไว้เลย แต่พอมาเป็น 7’x ก็พยายามทำให้แต่ละตัวละครมีมิติมากขึ้น พร้อมเรื่องราวที่สามารถสอนใจคนอ่านได้ด้วย
ชวนคุยถึงเรื่องราวของไอวีส์ จากตอน Lady Liar ลวงรักจับผิดหัวใจยัยจอมโกหก ในเซต 7’x ที่ได้รับการขนานนามจากคนอ่านว่า ‘ดรามา’ ที่สุด
เล่มนี้เขียนยาก ปมเยอะมาก หลอกกันไปมาหลายตลบ เนื่องจากเราเริ่มเบื่อคาแรคเตอร์นางเอกน่ารักใส ๆ แล้วไอวีส์จะต้องเป็นคนที่ชอบโกหกด้วย เพราะงั้นเราเลยต้องพยายามหากลเม็ด หรือเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้ไอวีส์ต้องโกหกคนอื่น และสุดท้าย นิยายเรื่องนี้ก็สามารถให้คติคนอ่านได้ว่าทำไมเราถึงไม่ควรโกหก แล้วการโกหกมันส่งผลเสียอะไรกับเราบ้างในตอนสุดท้าย
7’s และ 7’x มีตัวละครในจักรวาลที่เกี่ยวข้องกันเยอะมาก หาจุดสมดุลพร้อมสร้างความสนุกของเรื่องได้อย่างไร
อย่างที่ทราบกันว่าตัวละครในเซตนี้ค่อนข้างเยอะ เราเลยพยายามดึงคาแรคเตอร์ของแต่ละคนที่ชัด ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น สมมติว่าตัวละครใน 7’x อยากได้ของแพง ๆ หรือเฮลิคอปเตอร์สักลำก็ต้องไปติดต่อคิไรส์ (จากเรื่อง [7’s] So What ! สวย แสบ ซ่าส์ มีปัญหามั้ยคะสุดหล่อ) ถ้าอยากได้ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ไปช่วยจีบคนนั้นคนนี้ก็จะนึกถึงลีเทย์ เราพยายามคิดพลอตที่สามารถโยงไปหาพวกรุ่นพี่ได้ เพื่อแก๊ง 7’s มาปรากฏตัวในเรื่องของรุ่นน้องแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ เราก็ไม่ได้เอามารวดเดียวทั้งเจ็ดคน ส่วนใหญ่เน้นไปที่บัดดี้ของเจ้าตัวเป็นหลักมากกว่า ซึ่งช่วงสุดท้ายของทุกเรื่องเราก็จะมีงานสวีทฮาร์ตหรืองานที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อลงมติให้ว่าที่แฟนของสมาชิกแก๊ง ได้ผ่านไปเป็น ‘แฟน’ อย่างเป็นทางการ ทุกคนก็จะมาปรากฏตัว มีบทคนละนิดละหน่อยให้หายคิดถึง
Boy For Rent จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เคยสร้างความฮือฮา ด้วยการเปลี่ยนแนวจากนิยายรักใส ๆ มาเป็นนิยายรักผู้ใหญ่ ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของนิยายชุดนี้หน่อย
ตอนนั้นเราสนิทกับ ‘เจ้าหญิงผู้เลอโฉม’ หนึ่งในนักเขียนของสำนักพิมพ์แจ่มใส เลยชวนมาเขียนนิยายด้วยกัน แล้วพอดีช่วงนั้นเราสองคนก็สนิทกับพี่แฝด ซึ่งเป็นนักวาดปกของเซต 7’s กับ 7’x พวกเราคุยกันว่าจะมาร่วมงานกัน ทำโปรเจกต์อะไรสักอย่างที่เป็นผลงานของเราสามคน จึงเกิดเป็น Boy For Rent ขึ้น แต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะทำเป็นแนว 18+ แค่คิดพลอตขึ้นมาว่าจะทำเรื่องผู้ชายให้เช่านะ จะมีสองคู่ ประมาณนี้
เราก็แยกย้ายกันไปเขียนกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม พอเขียนจบปุ๊บ ส่งไปที่สำนักพิมพ์ เขาก็กังวลว่าพลอตมันแรงมากเลยนะ มันเป็นการเช่าผู้ชาย แล้วก็มีปมเรื่องบางอย่างที่อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก สำนักพิมพ์ก็เลยเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ปรับเป็น 18+ เลยดีไหม เพื่อที่จะได้คัดกรองอายุของผู้อ่าน หรือต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ทีนี้พอโจทย์ตีกลับมาว่าต้องเป็น 18+ ที่เราเขียนไปรอบแรกมันก็ยังก้ำกึ่ง มันยังไม่ 18+ เสียทีเดียว แค่มันไม่เหมาะสำหรับเด็กเฉย ๆ ถ้าคนที่เขาคาดหวังแนว 18+ จริง ๆ มาอ่าน เขาก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่เห็นมีอะไรเลย เราก็เลยกลับมาแก้กันใหม่ เพิ่มฉากที่มีความซับซ้อนร้อนแรงมากขึ้น
พอเป็นนิยายผู้ใหญ่ มีความท้าทายอะไรตามมาบ้าง
แน่นอนค่ะ ก็คือทุกอย่างมันต้องโตขึ้นทั้งหมดเลย ทั้งอายุตัวละคร สำนวนในการเขียน แล้วก็ความคิดต่าง ๆ ของตัวละคร ที่สำคัญสุดคือ ฉากเลิฟซีนก็จะต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงการบรรยายที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ
แสตมป์เบอรี่กับหนังสือนิยายเรื่อง Badz – Boy For Rent
เมื่อแนวคิดและค่านิยมในสังคมไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ส่งผลต่อสื่อบันเทิงในอดีต รวมทั้งนิยายของแสตมป์เบอรี่ที่เกิดกระแสดรามาด้วย เช่น นิยายเรื่อง Boy’s Paradise แผนรักชุลมุนจับคุณผู้ชายมาให้ฟิน ที่มีการตั้งคำถามจากนักอ่านเรื่องการไม่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ
จริง ๆ เราโดนหลายประเด็นมาก ไม่ใช่แค่นิยายเรื่องนี้ เรื่อง ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย ก็ด้วยเหมือนกัน ที่มีประเด็นเรื่องนางเอกเคี้ยวถุงยาง ซึ่งเราก็เข้าใจนะ เพราะว่าในยุคนั้นที่เราเขียนกับยุคนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ตกผลึกอะไรมากมายนัก
อย่างบริบทสังคมตอนนั้นก็ยังไม่ยอมรับในเรื่องการเป็น LGBTQ+ หญิงรักหญิง ชายรักชาย ตอนที่เราเขียน Boy’s Paradise ขึ้นมา เราก็แค่เตือนว่าไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้คนต้องเป็นแบบนี้นะ เพื่อที่จะบอกผู้ปกครองที่เขาไม่อยากให้เด็ก ๆ มาทำตามที่เราเขียน แต่มันก็เป็นดรามาขึ้นมา จากคำพูดที่เราอาจจะสื่อสารออกไปได้ไม่ดี แต่เจตนาจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการจะเหยียด หรือต้องการที่จะมาบูลลี่ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ที่เราไม่ได้ออกไปตอบโต้ เพราะยิ่งเราออกไปพูดอะไรแบบนี้ มันอาจจะมีคำพูดบางอย่างที่เราไตร่ตรองได้ไม่ดีพอ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาทำให้ยิ่งกลายเป็นประเด็นเข้าไปอีก
แต่ว่าเราเก็บเอาจุดที่เคยโดนติ โดนวิจารณ์ โดนว่ามาแก้ไขใหม่ แล้วก็พัฒนาในงานต่อ ๆ ไปของเรา ไม่ให้เป็นแบบนั้นอีก ถ้าเกิดว่าคนที่ได้อ่าน 7’x เล่มล่าสุดที่เป็นของซีเจย์ ก็จะเห็นว่าเนื้อเรื่องเป็นการส่งเสริมเรื่อง LGBTQ+ แบบเต็มตัว ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
งานเก่า ๆ ที่เคยพลาดไปแล้ว เราเคยแกะเนื้อเรื่องออกมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมจริง ๆ ทั้งการใช้คำพูดเหยียด บุลลี หรือว่าเป็นการแสดงออกในลักษณะคุกคาม เราก็จะเอาไปปรับปรุงแก้ไขทั้งหมดก่อนจะตีพิมพ์ใหม่
สุดท้ายนี้ เราคงแก้ไขงานเก่าไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราเอามาทำใหม่ อันนั้นเราต้องแก้ไขจริง ๆ แล้วก็เรื่องใหม่ ๆ ที่เราเขียน เราก็ไม่ควรจะกลับไปทำแบบนั้นอีกแล้ว ที่ผ่านมาก็ให้มันเป็น ‘ดิจิทัลฟุตปรินท์’ ต่อไป
ช่วงหลัง ๆ แสตมป์เบอรี่มีการรีไรท์ผลงานเก่า ๆ ให้สอดคล้องกับค่านิยมในสังคมปัจจุบัน อยากทราบว่ามีอะไรในเนื้อหาที่สแตมป์เบอรี่ลบทิ้งหรือคงไว้เหมือนเดิม
ก็หลาย ๆ อย่างเลยค่ะ อย่างพวกเซต Psycho ที่เอามาทำใหม่ ก็มีการประชุมกันกับบรรณาธิการและฝ่ายรีไรท์ ให้ลิสต์มาทั้งหมดเลยว่าตรงไหนที่มันเป็นจุดสุ่มเสี่ยงหรือว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นมุกที่ไม่ควรเอามาเล่นในยุคนี้ ก็ไฮไลท์แล้วแก้ไขใหม่ทั้งหมด แต่ว่าโครงเรื่องก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้มาก
กรณีเรื่อง ยัยเวอร์จิ้นปิ้งรักนักเพลย์บอย ที่พระเอกพยายามอยากได้เวอร์จินของนางเอกก็ยังคงไว้เหมือนเดิม แต่เราก็จะไปเน้นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่าสิ่งที่พระเอกคิดหรือทำอยู่มันไม่ถูกต้อง ทำให้พระเอกตระหนักได้ในจุดนี้ คือเราจะไม่โรแมนติไซส์มันว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี ถ้ามันผิดเราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันผิด และมันสามารถแก้ไขยังไงได้บ้าง สรุปก็คือโครงเรื่องยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เราแค่ชี้ให้เห็นปัญหาและการแก้ไข ให้คนอ่านเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นเอง
ช่วยบรรยายถึงความรักความผูกพันที่มีต่อตัวละคร รวมทั้งนักอ่านของตัวเอง
กับตัวละคร อย่างที่บอกว่า 7’s และ 7’x เป็นอะไรที่ผูกพันมาก ๆ ถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเลย ทำให้เราเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะรู้จักมาตั้งแต่เซต Psycho แล้ว หรือรู้จักมาจาก 7’s กับ 7’x
เพราะงั้นคนก็จะเห็นว่าทำไมยังไม่จบสักที ทำไมยังมี 7’boyz ออกมาอีก ที่ไม่อยากให้จบเพราะเราผูกพันกับตัวละคร เรายังคิดถึงเขา เรายังอยากให้เขาโผล่มาในงานเขียนเราเรื่อย ๆ ถ้าเกิดมันไม่ต่อยอดมาเป็นเจ็ดอื่น ๆ จะให้ตัวละครไปโผล่เล่มอื่นก็ไม่ใช่ละ เพราะเป็นคนละจักรวาลกัน คนละเมือง คนละประเทศ มันก็ไม่สามารถไปโผล่พร่ำเพรื่อได้
ก็เลยจำเป็นที่จะต้องคงไว้ซึ่งเซตเจ็ดคน เป็นผลที่ทำให้ยังมี 7’boyz ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนนักอ่านก็คือผูกพันกับทุกคนมาก ๆ แล้วก็จะเขินเวลาทุกคนบอกว่า “เนี่ย หนูอ่านมาตั้งแต่สมัย…” หรือ “หนูอ่านมาตั้งแต่ยุคนั้น หนูติดตามพี่มาตั้งแต่หนูยังใส่คอซอง จนตอนนี้หนูมีลูกแล้ว” เรารู้สึกว่าเออ เขาโตมากับเราจริง ๆ แล้วเราก็โตไปกับเขาด้วย ยังรู้สึกว่าเขายังเป็นเซฟโซนของเรา เป็นความอบอุ่นของเรา ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องอะไรหนัก ๆ มาแค่ไหน ทุกคนก็ยังพร้อมจะเข้าใจ แล้วก็ซัปพอร์ตไม่ได้ทิ้งไปไหน ก็ดีใจมาก ๆ แล้วก็ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
เส้นทางการเป็นนักเขียนของ แสตมป์เบอรี่ เชื่อมโยงกับประโยคที่ว่า “La lecture est une amitié” หรือ การอ่านเป็นดั่งมิตรภาพ ได้อย่างดี ประโยคนี้ปรากฏในผลงานเขียนชื่อ Sur la lecture ของ Marcel Proust นักเขียนคนสำคัญชาวฝรั่งเศส สำหรับ Proust การอ่านไม่ใช่เพียงการหาความรู้ แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ เป็นความใกล้ชิด จากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและชีวิตของตัวละคร ความสัมพันธ์นี้จึงไม่ต่างจากความผูกพันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ด้วยเหตุนี้ การอ่านจึงเป็นกิจกรรมที่สะท้อนความผูกพันของมนุษย์ ทั้งในระดับปัจเจกดังที่กล่าวไป และในระดับหมู่คณะ เช่นการรวมกลุ่มของผู้ที่รักชอบผลงานเขียนของนักเขียน…
ดูเหมือนว่า ตัวหนังสือของ แสตมป์เบอรี่ ก็ก่อให้เกิด ‘มิตรภาพ’ อันงดงามเช่นกัน
แสตมป์เบอรี่กับงานหนังสือที่เวียงจันทน์ ปี พ.ศ. 2562
Share this: