Lifestyle

ชวนส่องหน้าตา ‘ภาษารัก’ ของคนยุคดิจิทัล เป็นแบบไหน อย่างไรบ้าง ?

แนวคิด 5 ภาษารัก (Love Languages) ของ ดร.แกรี่ แชปแมน กับการเปลี่ยนแปลงในบริบทสังคมยุคดิจิทัล

เรื่อง : ชลลดา ไชยโรจน์วัฒนา
ภาพ :
สุรีย์พัศ เมธาไมตรี

มนุษย์แต่ละคนมีการรับรู้และมีวิธีการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนชอบบอกรัก บางคนชอบเอาใจใส่ บางคนชอบให้ของขวัญ ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูหรือประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน ซึ่งวิธีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้สามารถอธิบายได้โดยแนวคิด ‘ภาษารัก (Love Languages)’

ปภัสสรา ชัยวงศ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงเรื่องดังกล่าวกับ นิสิตนักศึกษา ว่า “คำว่าภาษา (Languages) ในทางการสื่อสาร เปรียบเสมือนรหัสที่บรรจุความรู้สึกและความคิด โดย ‘รหัส’ (code) ที่บรรจุความรู้สึกว่า ‘รัก’ ของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันออกไปตามบุคลิกภาพ พื้นฐานนิสัย รวมไปถึงการได้รับการกล่อมเกลาจากครอบครัวหรือสังคม” 

ปภัสสราอ้างอิงถึงแนวคิด ‘ภาษารัก (Love Languages)’ ของ ดร.แกรี่ แชปแมน นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้ให้คำปรึกษาด้านชีวิตสมรส ซึ่งสนใจแนวทางการรับรู้ความรักและการแสดงออกถึงความรักอันแตกต่างกันของแต่ละคน  จากประสบการณ์และการเก็บข้อมูลในการให้คำปรึกษาคู่รักและคู่สมรส เขาได้ค้นพบถึงภาษารักลักษณะต่างๆ โดยได้แบ่ง ภาษารัก หรือ รหัสที่มนุษย์ใช้ส่งผ่านความรักออกเป็นทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่

1.Words of Affirmation (ถ้อยคำแห่งการยืนยัน)

การสื่อสารความรักด้วยถ้อยคำทั้งผ่านพูดและการเขียน เช่น การบอกรัก การชื่นชม การแสดงความขอบคุณ รวมถึงการให้กำลังใจ สิ่งเหล่านี้เป็น Words of Affirmation ที่ทำให้คนรับรู้ได้อย่างตรงไปตรงมาว่ารักและเห็นคุณค่า 

2.Quality Time (การใช้เวลาคุณภาพด้วยกัน)

การใช้เวลาอยู่ร่วมกัน บางครั้งอาจมีการทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวด้วยกัน แต่บางครั้งแค่เพียงการอยู่ด้วยกัน (presence) ในสถานที่เดียวกัน อาจอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้สื่อสารความรักด้วยถ้อยคำมากมาย แต่การได้อยู่เคียงข้างกันก็ถือเป็นการแสดงออกถึงภาษารักของคนกลุ่มนี้แล้ว

3.Physical Touch (การสัมผัสด้านร่างกาย)

การส่งผ่านความรู้สึกรักผ่านการสัมผัสร่างกาย เช่น การกอด การจับมือ การหอมแก้ม หรือการสัมผัสใดๆ ทั้งที่หนักแน่นและอ่อนโดยการแสดงออกความรักรูปแบบนี้ มักพบเห็นได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะการสัมผัสเป็นภาษารักขั้นพื้นฐาน เป็นสัญชาตญาณตั้งแต่กำเนิดของมนุษย์ที่จะกอดบุคคลหรือสิ่งใดๆ ที่ตนเองรัก 

4. Act of Service (การแสดงออกถึงการเอาใจใส่)

การปรนนิบัติดูแลด้วยอยากให้คนที่เรารักสุขสบาย ได้รับการดูแลอย่างดี มีชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การเตรียมอาหารให้คนรักหลังจากกลับถึงบ้าน ซักผ้าให้ ล้างจานให้ ยินดีให้บริการในเรื่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่

5. Giving Gifts (การให้ของขวัญ)

การให้สิ่งของแทนความรู้สึกที่อยากให้คนที่รักได้รับสิ่งดีๆ บางคนมักใส่ความหมายบางอย่างเจาะจงให้กับของที่ซื้อให้คนรัก เช่น ซื้อไดอารีให้ เพื่อจะได้เขียนความทรงจำถึงกัน ซื้อนาฬิกาให้ เปรียบเสมือนการได้เห็นหน้ากันตลอดเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับความโรแมนติกของแต่ละคน ที่จะสร้างความหมายให้กับของขวัญชิ้นหนึ่งๆ นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึงการซื้อของขวัญที่อีกคนอยากได้ แม้จะไม่ได้ใส่ความหมายอะไรลงไปเลย ก็ถือเป็นภาษารักแบบนี้ด้วยเช่นกัน

ปภัสสรากล่าวว่า มนุษย์ทุกคนมีลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้น การแสดงออกความรักผ่านภาษารักรูปแบบหนึ่งของคนคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้หมายถึงการบอกรักของอีกคน ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิท คนรัก หรือคนในครอบครัวเดียวกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่แต่ละคนควรเรียนรู้ถึงภาษารักทั้งของตัวเองและคนรัก เพื่อจะได้สื่อสารความรักให้แก่กันได้

จากแนวคิดความแตกต่างของภาษารักนี้ นิสิตนักศึกษา จึงได้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับภาษารักของกลุ่ม Gen Z โดยมีการเก็บข้อมูลจากบุคคลทั่วไปจำนวน 55 คน จากเพศชายจำนวน 6 คน (ร้อยละ 10.9) เพศหญิงจำนวน 37 คน (ร้อยละ 67.3) LGBTQ+ จำนวน 11 คน (ร้อยละ 20) ไม่ระบุเพศอีกจำนวน 1 คน (ร้อยละ 1.8) โดยมีช่วงอายุระหว่าง 15-20 ปี จำนวน 14 คน (ร้อยละ 25.5) 21-26 ปี จำนวน 41 คน (ร้อยละ 74.5)  

พบว่า ภาษารักที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญมากเป็นอันดับ 1 คือ Act of Service หรือ การแสดงออกถึงการเอาใจใส่ อันดับ 2 คือ  Quality Time หรือ การใช้เวลาคุณภาพด้วยกัน อันดับ 3 คือ Words of Affirmation หรือ ถ้อยคำแห่งการยืนยัน อันดับ 4 คือ Physical Touch หรือ การสัมผัสด้านร่างกาย และภาษารักที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญน้อยที่สุดก็คือ Giving Gifts หรือ การให้ของขวัญ 

ต้นขิง ผู้ตอบแบบสอบถามวัย 23 ปี อธิบายว่า สาเหตุที่เธอให้ Act of Service มาเป็นอันดับ 1 เพราะเป็นภาษารักที่รับรู้ได้ง่ายที่สุด ผ่านการดูแลเอาใจใส่ของอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ รวมทั้งตัวเองก็เลือกที่จะแสดงออกผ่านภาษารักข้อนี้เสียเป็นส่วนใหญ่

ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามอีกท่าน กาวิน (นามสมมติ) นิสิต ปี 3 เห็นว่า Quality Time คือภาษารักที่สำคัญเป็นอันดับ 1 พร้อมเล่าถึงประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์ของตนเองที่ใช้เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ได้

“ก่อนหน้าที่จะเจอกับแฟนคนปัจจุบัน เราเคยมีคนคุยที่อยู่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งไกลมาก อยู่คนละจังหวัด เราเจอกับคนคุยคนนี้ผ่านแอปหาคู่ เราเลยทำได้แค่แชตกันผ่านออนไลน์ อยากจะนัดเจอเวลาก็ไม่ตรงกันสักที จนวันหนึ่งเขาก็มาบอกเลิกเรา พร้อมด้วยเหตุผลว่า มันยากที่จะรู้สึกดี ไม่เคยเจอตัวจริง ไม่เคยคุยกันต่อหน้าเลย แล้วเราก็ได้เจอกับแฟนคนปัจจุบัน ซึ่งก็เจอผ่านแอปเหมือนกัน แต่เขาอยู่มหาวิทยาลัยใกล้ ๆ เรา ก็เลยนัดเจอกันได้ง่าย พอเจอกัน ได้เห็นหน้ากัน ไปดูหนัง กินข้าว ทำกิจกรรมต่าง ๆ มันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปในทางที่ดีและก้าวกระโดดจนมาเป็นแฟนนี่แหละ”

นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบัน ปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับรูปแบบภาษารักทั้ง 5 อย่างมีนัยสำคัญ คือ ‘โซเชียลมีเดีย’ แพลตฟอร์มออนไลน์หรือสื่อดิจิทัลซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสารของผู้คนในสังคม 

ร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าในปัจจุบันโซเชียลมีเดีย มีบทบาทและมีอิทธิพลกับความรักความสัมพันธ์ค่อนข้างมาก และใช้สื่อออนไลน์เป็นตัวกลางในการแสดงความรักต่อคู่รัก

เมื่อสอบถามถึงรูปแบบหรือวิธีการแสดงความรักผ่านโลกออนไลน์ของแต่ละคน (สามารถตอบได้มากกว่า 1 วิธี) พบว่า การใช้ ‘เพลง’ เป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเพลงให้ ทำเพลย์ลิสต์ให้ หรือแม้กระทั่งแชร์เพลย์ลิสต์ร่วมกันกับคู่รัก เป็นวิธียอดนิยมมากที่สุด โดยร้อยละ 45 ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความรักผ่านวิธีนี้

รองลงมาคือการสนทนาในแอปพลิเคชัน เช่น การทักหา การบอกรัก บอกคิดถึง คิดเป็นร้อยละ 34.55 การแชร์โพสต์ หรือคลิปวิดีโอตลก ๆ ถึงกัน คิดเป็นร้อยละ 21.82 การแท็กสตอรีอินสตาแกรมถึงอีกฝ่าย คิดเป็นร้อยละ 10.91 สุดท้ายคือการซื้อสติกเกอร์ไลน์กับธีมไลน์เป็นของขวัญ คิดเป็นร้อยละ 9.09

เนตร (นามสมมติ) นิสิต ปี 4 หนึ่งในผู้ที่ตอบแบบสอบถามได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ชอบแสดงความรักกับคู่รักในรูปแบบการส่งเพลง

“เราเลือกการส่งเพลงเพราะว่าบางทีให้พูดเองก็รู้สึกเขิน เราเป็นคนไม่กล้าพูดหรือแสดงออกผ่านคำพูดเท่าไร เลยใช้เพลงแทน เป็นเพลงที่เราฟังแล้วนึกถึงเขา” เนตรกล่าว

นอกจากการส่งเพลงแล้ว เนตรยังส่งคลิปวิดิโอขนาดสั้นที่เป็นคลิปตลกให้คนรัก อาทิ คลิป Reels หรือ TikTok เพราะอยากให้คนรักได้สนุกและหัวเราะไปกับคลิปวิดิโอนั้น ๆ เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ คนที่ตอบแบบสอบถามเข้ามา 

รูปแบบการแสดงความรักเหล่านี้ แม้จะมาในรูปแบบของสื่อออนไลน์ตามยุคสมัย แต่ก็ยังสามารถจัดเป็นรูปแบบของภาษารักพื้นฐานตามแนวคิดของ ดร.แกรี่ แชปแมน

ปภัสสราให้ความเห็นว่า การส่งเพลง การส่งคลิปวิดิโอ การทักแชทหา การแท็กสตอรี่ไอจี จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ Words of Affirmation หรือการแสดงความรักผ่านถ้อยคำแห่งการยืนยัน ผ่านภาษาที่ต้องการจะสื่อไปยังคนรัก เช่น เพลงเปรียบเหมือนคำพูดแทนใจ ในขณะที่ การส่งคลิปวิดีโอตลกที่แฝงมุกหยอดหรือมุกจีบสื่อถึงคนรักนั้น หากผู้ส่งมีเจตนาอยากให้คนรักยิ้มได้ รู้สึกขำหรือตลกกับคลิปวิดีโอที่ได้ดู นั่นก็อาจเป็นภาษารักแบบ Act of Service หรือการแสดงออกถึงการเอาใจใส่เพิ่มขึ้นมาด้วย

“เราสื่อสารผ่านคลิปตลก เพื่อปรนนิบัติ ดูแลความรู้สึกของคนรัก อยากให้เขาอารมณ์ดี ในทางหนึ่งก็เป็น Act of Service ได้เช่นเดียวกัน” 

จากแบบสอบถามยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบสอบถามล้วนคาดหวังการแสดงความรักในทำนองที่คล้ายกันจากคนรักของตัวเอง 

รุ้ง หนึ่งในผู้ตอบแบบสอบถามวัย 25 ปี พูดถึงความคาดหวังของตนเองที่มีต่อแฟนหนุ่ม ซึ่งรับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด ทำให้ต้องห่างไกลกัน ได้เจอกันแค่เดือนละ 1-3 ครั้ง แม้เธอจะชอบที่จะได้รับการดูแลจากแฟนของเธอมากที่สุด แต่ในเวลาที่จำเป็นต้องพึ่งพาโลกออนไลน์ในการสื่อสารกัน ภาษารักแบบ Words of Affirmation จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด ควบคู่ไปกับดูแลสภาพจิตใจของกันและกันแบบกลาย ๆ

“เราอยากให้แฟนส่งคลิปตลก ๆ แท็กสตอรี่ไอจี หรือส่งข้อความหาเราเหมือนกัน เราว่ามันเป็นภาษารักในการรับรู้ของเรา ว่า เขารักเรานะ เขาแคร์เรานะ เราว่าถ้อยคำอะไรแบบนี้เข้าใจง่ายที่สุดแล้วผ่านสื่อออนไลน์ ตอนเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วยว่า หากคนรักของตนเองไม่ได้มีรูปแบบการแสดงความรักในโลกออนไลน์แบบเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับและสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะด้วยการเปิดอกพูดคุยกัน หาตรงกลางที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย อันนำไปสู่การปรับตัวเข้าหากัน 

ตะวัน นิสิต ปี 4 ผู้ตอบแบบสอบถามอีกท่านได้แบ่งปันมุมมองในเรื่องนี้ว่า 

“ส่วนตัวเคยมีปัญหากับแฟนเรื่องการที่เราแท็กสตอรีไอจีไป แล้วเขาไม่แชร์ต่อ เราว่าใครหลาย ๆ คนที่แท็กสตอรีแฟนก็คงมีจุดประสงค์เดียวกัน คืออยากให้เขาแชร์ต่อ ซึ่งพอเขาไม่แชร์ เราก็จะเกิดความไม่สบายใจ คิดมากว่าทำไมเขาถึงไม่แชร์ต่อนะ ไม่อยากให้ใครรู้เหรอ เราก็จะโกรธนิดหนึ่ง แต่ก็พยายามคุยด้วยเหตุผล รีเฟลคปัญหากับเขาไปตามตรงเลย แล้วมาหาทางออกร่วมกันอีกที เพราะธรรมชาติการใช้โซเชียลมีเดียของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เราว่าเรื่องนี้มันแก้ได้”

มุมมองของตะวันสอดคล้องกับแนวทางการแก้ปัญหาในความสัมพันธ์เมื่อภาษารักไม่ตรงกัน ตามที่ปภัสสราได้แนะนำไว้

“เพราะธรรมชาติของคนเราไม่เหมือนกัน บุคลิกภาพ นิสัยพื้นฐานเราไม่เหมือนกัน การรับรู้หรือการแสดงออกของเราจึงต่างกัน ในบริบทความสัมพันธ์หนึ่งๆ เราต้องเรียนรู้วิธีการสื่อสารของเราก่อน ว่ามีแนวโน้มจะเป็นแบบไหน ในขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้การสื่อสารของคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกับเราด้วย เพราะถ้าหากแต่ละฝ่ายตีความภาษารักไม่ตรงกัน ก็จะทำให้อีกฝ่ายไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าเรารักเขาหรือเปล่า เมื่อไม่เข้าใจจึงนำไปสู่ความขัดแย้ง แม้กระทั่งการเก็บความสงสัยในความสัมพันธ์ไว้ในใจโดยไม่มีการคลี่คลาย สุดท้ายก็อาจจะนำไปสู่การไม่ไว้วางใจ หรือการปันใจไปให้คนอื่นได้” 

ทั้งนี้ นอกจาก ‘ภาษารัก’ แล้ว การสื่อสารกับคนรักให้ชัดเจนก็จำเป็นเช่นกัน

“ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจะมีการพูดคุยกับคู่รักของเราอย่างสม่ำเสมอว่า ในสถานการณ์หนึ่งๆ เราคิดอย่างไร เขาคิดอย่างไร เราชอบอะไร เขาชอบอะไร เพื่อจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน ได้หาแนวทางปรับตัวเข้าหากัน แบบนี้ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์ราบรื่น” ปภัสสรากล่าว