เขียน: ฟิซซา อวัน
ความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสมักถูกถ่ายทอดผ่านถ้อยคำแถลงจากภาครัฐ การเจรจาระหว่างประเทศ และตัวเลขผู้เสียชีวิต ขณะเดียวกัน บนหน้าจอมือถือของผู้คนในฉนวนกาซา โซเชียลมีเดียกำลังทำหน้าที่เป็นพื้นที่สื่อสาร บันทึก และยืนยันการมีอยู่ของชีวิตประจำวันที่ยังดำเนินต่อไป ท่ามกลางความขัดแย้ง การอพยพ และความไม่แน่นอนที่ไม่เคยจางหาย
1
“ผมพยายามลงคอนเทนต์เชิงบวกในแพลตฟอร์มติ๊กต็อก ผมอยากให้คนที่เข้ามาดูคอนเทนต์ได้รับพลังบวกกลับไป”
คาริม เด็กหนุ่มชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี
คาริม (Karim)1 เด็กหนุ่มชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี อาศัยอยู่ในพื้นที่ฉนวนกาซา ย้อนไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันที่ 7 ตุลาคม 2023 เขากำลังเตรียมตัวกับการนักศึกษาใหม่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่มหาวิทยาลัยอัล ฮัซฮัร (Al Azhar) แต่ปัจจุบันคาริมพักการศึกษามาแล้วกว่าสองปี
เกิดอะไรขึ้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023
ฮามาส (Hamas) เป็นกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ที่เคร่งศาสนาอิสลามซึ่งปกครองฉนวนกาซา ได้โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คน และจับตัวได้ประกันจำนวน 251 คน เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ของอิสราเอลในกาซา ซึ่งทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นคน
พื้นที่ฉนวนกาซา คือ
กาซาเป็นพื้นที่แถบยาวขนาด 41 กิโลเมตร (25 ไมล์) คูณ 10 กิโลเมตร (6 ไมล์) ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นหนึ่งในดินแดนของชาวปาเลสไตน์ นอกจากเขตเวสต์แบงก์ซึ่งถูกอิสราเอลยึดครอง พื้นที่กาซาแบ่งออกเป็น 5 เมือง ได้แก่ กาซาเหนือ (North Gaza) เมืองกาซา (Gaza City)เดียร์ อัล-บาลาห์ (Deir al-Balah) ข่าน ยูนิส (Khan Younis) และราฟาห์ (Rafah) กาซามีแนวกั้นแยกจากอิสราเอล และมีด่านชายแดนทางตอนใต้ที่เชื่อมต่อกับประเทศอียิปต์
แปดเดือนหลังการโจมตีทางทหาร คาริมริเริ่มความคิดที่จะสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเองและครอบครัว โดยได้แรงบันดาลใจจาก อัล ฮาริมมี (Al-Halimy) เจ้าของแอ็กเคานต์ติ๊กต็อกและอินสตาแกรม @medo_halimy
อัล ฮาริมมี (Al-Halimy)
อัล ฮาริมมี คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชาวปาเลสไตน์ วัย 20 ปี มียอดผู้ติดตามทางแพลตฟอร์มติ๊กต็อกกว่าสามแสนคน เนื้อหาส่วนใหญ่ในช่องคือการเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของการอพยพไปแต่พื้นที่ในฉนวนกาซา
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2024 อัลฮาริมมีเสียชีวิตจากการถูกสะเก็ดระเบิด ของขีปนาวุธของอิสราเอล ในเมืองข่าน ยูนิส
เนื้อหาส่วนใหญ่ในช่องติ๊กต็อกของคาริม (@itskarimy) คือการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งความขัดแย้ง — เขากินอะไร? ทำอาหารอย่างไร? อยากเล่นเกมต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างไร? ในช่วงแรกคาริมใช้ภาษาอาหรับในการเล่าเรื่อง จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษแทน
“คลิปวิดีโอเดียวกัน เป็นภาษาอาหรับได้แค่ 50 ไลก์ แต่พอตัดต่อใหม่ พากย์ทับเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ตั้ง 5,000 ไลก์” คาริมกำลังพูดถึง ‘เราทำขนมปังอย่างไรกันในกาซา’
คอนเทนต์แรกที่เขาเผยแพร่ลงในแพลตฟอร์มติ๊กต็อก โดยพาผู้ชมไปดูวิธีการทำขนมปังซึ่งเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของชาวปาเลสไตน์ ในพื้นที่ที่ไม่มีแก๊ส ตั้งแต่ขั้นตอนการนวดแป้ง จนถึงการอบขนมปังด้วยเตาอบดิน
“ผมตกใจมาก ครั้งแรกที่ผมโพสต์วิดีโอแล้วได้ 5,000 ไลก์ มันรู้สึก…ว้าว บนโลกนี้ยังมีคนสนับสนุนพวกเราอยู่” คาริมเล่าเพิ่มเติมว่า ถ้าเขาลงเนื้อหาเกี่ยวกับเกมก็จะมีกลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมมาคอมเมนต์ให้กำลังใจ หากเขาลงเนื้อหาเกี่ยวกับการปลูกผัก ก็จะมีชุมชนของคนปลูกผักมาคอมเมนต์ให้ความสนใจ รวมไปถึงการสอนเขาว่าควรจะปลูกผักอย่างไร
“หลังจากที่ผมเริ่มถ่ายคลิป อัลฮัมดูลิลลาฮ์2 เราได้ยอดคนดู ยอดแชร์ ยอดบริจาค มีคนอีกเยอะมาก ๆ ที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปาเลสไตน์แล้วไปประท้วง มีผู้ติดตามของผมที่ไปประท้วงแล้วส่งคลิปวิดีโอมาให้ผม ผมรู้สึกดีมากนะ มันเหมือนผมได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้”
2
“ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองที่ค่อนข้างไกลปืนเที่ยง มีแต่ต้นไม้ใบหญ้ารอบตัว น้ำดื่ม หรือปัจจัยสี่ก็เข้าไม่ค่อยถึง รวมถึงอินเทอร์เน็ตด้วย… ตอนนี้ผมใช้ซิมส์การ์ดและอินเทอร์เน็ตเครือข่ายอิสราเอล ราคาก็ 13 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 450 บาท) ต่อเดือน สำหรับ 500 กิกะไบต์”
คาริม เด็กหนุ่มชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี
คาริมและครอบครัวอีก 6 คนเพิ่งอพยพมาที่เมืองนูเซอิรัต (Nuseitrat) ที่ตั้งอยู่กลางฉนวนกาซา ได้ราวสองสัปดาห์ หลังจากที่กองทัพอิสราเอลโปรยใบปลิวสั่งอพยพชาวเมืองในกาซาเหนือ (North Gaza) “(ในใบปลิว) เขียนว่า ‘ออกจากพื้นที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้’ เราเลยหยิบทุกอย่างที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้ออกมา และเรารู้ว่าทุกอย่างที่เราทิ้งไว้ในบ้านจะถูกทำลาย ถูกขโมย หรือบ้านเราจะถูกระเบิดโดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล (Israel Defense Forces : IDF)” คาริมเสริมว่า เขาเองเลือกหยิบแล็ปท็อปเป็นอย่างแรก เพราะในนั้นมีงานทั้งหมดของเขา
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คาริมและครอบครัวต้องอพยพ
ช่วงสองวันแรกของการเริ่มต้นสงครามเมื่อสองปีที่แล้ว คาริมและครอบครัวถูกสั่งให้อพยพออกจากบ้านที่เขาเติบโตมา ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเลยหยิบแค่กระเป๋าแล้วออกไป ทิ้งทุกอย่างไว้ในบ้าน
“ผมสูญเสียทุกอย่างในบ้าน ทั้งเสื้อผ้า โต๊ะเกมส์ และความทรงจำ”
หลังจากนั้นคาริมและครอบครัวก็อพยพไปอยู่ที่เมืองราฟาห์ (Rafah) “ผมแชร์รูป (ช่วงเวลาแต่ละครั้งที่อพยพ) ไว้ในติ๊กต็อกด้วย เดี๋ยวผมส่งลิงก์ให้ดู คุณอาจจะเข้าใจมากขึ้น เพราะเวลาเราเห็นภาพ เราจะเข้าใจความรู้สึกมากขึ้น ภาพถ่ายมันเล่าความจริง” คาริมกล่าว
แสดงว่าเวลาคุณถ่ายภาพหรือเล่าเรื่องตัวเองก็เพราะคุณอยากให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม — นิสิตนักศึกษาตั้งคำถาม
“เวลาผมอัดวิดีโอ ผมก็ไม่ได้ฉายภาพความจริงนะ เพราะของจริงมันแย่กว่านั้นมาก ผมแค่พยายามฉายภาพความเป็นจริงและส่งพลังบวก” สำหรับคาริม การส่งพลังบวกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งลงคลิปที่สอดแทรกความสนุกหรือใส่มีมตลก ๆ ก็ยิ่งทำให้คนดูสนุก จนทำให้วิดีโอเป็นที่มองเห็นและได้รับแรงสนับสนุนได้ง่ายขึ้น
ยิ่งในสถานการณ์ที่วิดีโอที่ได้รับความสนใจ ไม่ได้สะท้อนแค่ความภูมิใจ แต่เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพที่ทำให้ครอบครัวมีชีวิตรอดต่อไป
“สถานการณ์ที่เราอยู่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก เงินในบัญชีพ่อของผมเหลือศูนย์ เราอยู่ในสถานการณ์ที่แป้งหนึ่งกิโลกรัมราคา 50-100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,600-3,500 บาท) และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงชีพของครอบครัวที่มีสมาชิกเจ็ดคนมันสูงมาก เราต้องการแป้งวันละสามกิโลกรัม แต่พอเราได้รับเงินบริจาค (จากการทำคลิป) เราก็มีเงินที่จะซื้ออาหารเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป”
ระบบการบริจาค
ผู้คนในกาซามักจะใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น gofundme หรือ chuffed ในการเล่าเรื่องราวของตนเอง เพื่อขอรับเงินบริจาคจากคนต่างชาติ โดยเงินที่ได้ก็มักจะเป็นค่าอาหาร ค่าปัจจัยสี่ ค่าเล่าเรียน และค่าอพยพจากพื้นที่กาซา
คาริมมองว่าหากไม่มีเงินบริจาค เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องไปหาอาหารจากไหน เขายกตัวอย่าง ช่วงการอพยพที่ผู้ลี้ภัยมักจะเผชิญกับภาวะความอดอยาก (starvation) เพราะขาดแคลนอาหาร หนทางการเข้าถึงอาหารจึงอาจหมายถึงการเข้าปล้นรถบรรทุก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถบรรทุกจากชายแดนเข้ามาในฉนวนกาซา ประชาชนก็จะไปหยุดรถบรรทุกแล้วหยิบอาหาร หยิบแป้งอเนกประสงค์ออกมา บางคนก็หยิบออกไปขายที่ตลาด ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็มักแลกมากับความเสี่ยงชีวิต
“พื้นที่ตรงนั้นมันอันตรายมาก คนเสียชีวิตทุกวันอย่างน้อย 10 คนจนถึง 30 คน มีมือปืนซุ่มยิง…บางทีสื่อก็ไม่ได้เล่าทุกอย่างและไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้” คาริมกล่าว
“มีแค่คนที่อยู่ในกาซาเท่านั้นที่จะเข้าใจ ที่จะรู้ว่ามันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน อย่างบางคนได้ถุงแป้งมาจากรถบรรทุก แล้วก็ต้องเดินแบกมันไปเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตรเพื่อกลับบ้าน”
คาริม เด็กหนุ่มชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี
ระดับของความอดอยาก (Starvation) ประเมินได้อย่างไร
มาตราส่วน "ไอพีซี" (IPC Scale: Integrated Food Security Phase Classification Scale) คือเกณฑ์มาตรฐานโลกในการประเมินระยะของสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างร้ายแรง โดยวัดจากระดับความยากลำบากในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าและราคาถูกของประชากร ซึ่งเฉพาะระยะที่ 5 ที่ผู้คนมีความอดอยากแร้นแค้นสูงสุดนั้น จึงจะถือว่าเข้าขั้นทุพภิกขภัย (Famine)
รายงานของไอพีซีว่าด้วยสถานการณ์ในฉนวนกาซา ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 ชี้ว่าประชาชนราว 2.1 ล้านคนทั่วทั้งเขตกาซา อาจต้องเผชิญกับภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรง อยู่ในระดับ IPC ขั้นที่ 3 หรือสูงกว่า (ซึ่งหมายถึง ภาวะวิกฤติ หรือ แย่กว่านั้น) ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ปี 2025 โดยในจำนวนนั้นมีเกือบ 469,500 คน ที่คาดว่าจะประสบกับภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารขั้นวิกฤติที่สุด (ระดับ IPC ขั้นที่ 5)
คาริมมองว่า การที่ใคร ๆ ออกมาเล่าเรื่องถึงการใช้ชีวิตในกาซา ทำให้ผู้รับสารรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหาของพวกเขา ต่างกันกับการรายงานในสื่อที่แม้บางทีสิ่งที่รายงานจะเป็นเรื่องอย่าง ‘ผู้คนอดอยากในกาซา’ แต่คนฟังกลับไม่รู้สึกหรือไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อพยายามจะเล่า
“บางทีสิ่งทำให้คนเรารู้สึกมากกว่า คืออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง – อะไรเป็นข้าวเย็นของเราในวันนี้” คาริมเล่า
3
จานา (Jana)3 เป็นเด็กสาววัย 16 ปี ณ วันที่สัมภาษณ์เธออาศัยอยู่กับครอบครัวที่ค่ายอพยพในเมืองนูเซอิรัต จานาและพี่สาวเดินเท้ากว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อมานั่งให้สัมภาษณ์ทางออนไลน์กับนิสิตนักศึกษาที่คาเฟ่ เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตในค่ายอพยพค่อนข้างแย่
เรารู้จักกันผ่านอินสตาแกรม (@janafromgaza) เพราะเธอเองก็เป็นอีกคนที่ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเล่าถึงปัญหาที่เธอและครอบครัวต้องพบเจอ จานาเริ่มลงโพสต์ในอินสตาแกรมครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2024 โดยเนื้อหาคือการขอความช่วยเหลือให้เธอและครอบครัวสามารถอพยพออกไปจากกาซา
วันที่ 23 มีนาคม เธอลงคลิปวิดีโออีกหนึ่งโพสต์ แต่คราวนี้พูดถึง ‘เบกกิ’ แมวของเธอที่กลัวเสียงระเบิดจนต้องไปหลบอยู่ใต้เตียงตลอดทั้งวัน คลิปวิดีโอดังกล่าวได้รับยอดเข้าชม 7 หมื่นครั้ง ทำให้จานามียอดผู้ติดตามและยอดผู้บริจาคมากขึ้น
“พวกเขาตั้งใจสนับสนุนเรามาก ฉันดีใจมากที่มีคนดู มีคนสนับสนุนจากทั่วทุกมุมโลก เขารักและห่วงใยเรา” จานาเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของเธอมีทั้งหมด 7 คน พ่อ แม่ พี่สาวสามคนและพี่ชายอีกหนึ่งคน เธอเป็นน้องคนสุดท้อง เหตุผลที่เปิดแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดียสาธารณะ เพราะเธอชอบเล่นโซเชียลและสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้
“ฉันอยากให้คนรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับพวกเรา สิ่งที่เราต้องเผชิญในพื้นที่ฉนวนกาซา เพราะหลายครั้งสื่อก็ไม่สามารถสะท้อนความเจ็บปวดของพวกเราทุกคน นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเล่าเรื่องราวของเรา”
จานา เด็กสาววัย 16 ปี
เธอมองว่าแพลตฟอร์มอย่างอินสตาแกรม ติ๊กต็อก และเฟซบุ๊กเป็นแพลตฟอร์มที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของเธอให้กับคนทั้งโลกได้รับฟัง
เรื่องราวที่จานาอยากเล่าหรือความเจ็บปวดที่เธอพูดถึง มีตั้งแต่ความยากลำบากในการหาน้ำสะอาดในการใช้ดื่มและชำระร่างกาย ความเจ็บปวดที่ต้องพักการเรียนมากว่าสองปี ความยากลำบากในการหายารักษาให้พ่อที่ป่วยเป็นเบาหวาน และแม่ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจ จนไปถึงการที่ต้องสูญเสียแมวในช่วงสงคราม
“ฉันชอบลงคลิปแมวทั้งหกตัว จนกระทั่งมาเสียแมวตัวแรกไป… ตอนนี้แมวเสียไปทั้งหมดสี่ตัว เหลืออยู่แค่สองตัวแล้ว” จานาเล่าว่าเหล่าแมว ๆ เป็นโลกทั้งใบของเธอ พวกมันคอยอยู่กับเธอทุกวัน นั่งเฝ้าเธอเรียนหนังสือ แม้กระทั่งรูปโปรไฟล์อินสตราแกรมของจานาก็ยังเป็นรูปคู่กับ ‘เจเจ’ แมวสีเทาที่เสียไปแล้ว

“เอาจริง ๆ ฉันคิดถึงการได้ใช้ชีวิต คิดถึงบ้าน คิดถึงแมว คิดถึงทุก ๆ อย่าง คิดถึงโรงเรียน หนังสือ ตุ๊กตา คิดถึงทะเล ช่วงก่อนสงครามฉันได้กินอาหารดี ๆ กับครอบครัว ได้อยู่กับแมว”
จานา เด็กสาววัย 16 ปี
ชีวิตของจานาก่อนช่วงสงครามคือชีวิตทั่วไปของนักเรียนมัธยม เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่ชอบเรียนทั้งฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ “ฉันอยากจะเรียนต่อด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ในมหา’ลัย เป็นความฝันของฉันเลย หวังว่าวันนึงจะได้สร้างหุ่นยนต์ช่วยเหลือคนป่วย หุ่นยนต์ที่จะช่วยบอกเวลากินยา หุ่นยนต์ที่ช่วยปลุกให้ตื่น”
ทุกวันนี้จานายังคงเรียนอยู่ – ไม่ได้เรียนในสถาบันการศึกษาแบบแต่ก่อน แต่ย้ายมาเรียนคอร์สเสริมแทน เธอจะเดินเท้า 20-30 นาทีออกไปเรียนกับติวเตอร์ทุก ๆ วันอังคาร เสาร์ และอาทิตย์ วิชาที่เรียนมีตั้งแต่ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ ภาษาอาหรับ และภาษาอังกฤษ

“ถ้าฉันไม่แชร์เรื่องราวของฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไงกับชีวิต ฉันคิดถึงเรื่องการโพสต์ ตั้งแต่ตื่นยันนอน ฉันไปเรียนคอร์สเสริมก็ต้องใช้หนังสือ ดินสอ เครื่องเขียน ถ้าฉันไม่โพสต์แล้วฉันจะเรียนได้ยังไง” จานาหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วสำหรับการเล่าเรียน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทุก ๆ อย่างในกาซาตอนนี้ราคาสูง การที่เธอคอยอัปเดตชีวิต โพสต์ลงโซเชียลมีเดียย่อมทำให้เธอถูกมองเห็นมากขึ้น และได้รับการสนับสนุนมากขึ้น
“เราก็เป็นคน เป็นมนุษย์ มีเรื่องเล่า มีความฝัน ทุกข์ทรมานในกาซา หาข้าวกินไม่ได้ มีเรื่องอีกมายมาย มันสำคัญนะ ที่คนจะช่วยเหลือพวกเรา เห็นเรา ได้ยินเรา ว่าเราก็เป็นเหมือนพวกเขา เป็นคนเหมือนกัน” จานากล่าว
4
เนอร์มีน (Nermeen)4 เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี ปัจจุบันเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 เธอเริ่มทำงานอาสาสมัครในโรงพยาบาลมาแล้วกว่าสองปี ตอนนี้เนอร์มีนทำงานในแผนกศัลยกรรมทรวงอก (thoracic department) ที่โรงพยาบาลนัสเซอร์ (Nasser Hospital) ในเมืองข่าน ยูนิส
ก่อนหน้านี้เนอร์มีนทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลยูโรเปียน กาซา (European Gaza Hospital) ตั้งแต่เธออายุ 20 ปี ตอนนั้นเธอยังไม่เคยมีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยและไม่เคยเห็นคนเจ็บจริง ๆ มาก่อน เธอได้รับหน้าที่เฝ้าคลินิก จึงเรียนรู้งานจากหมอคนอื่น ๆ พอทำงานไปได้สักพักก็เริ่มเข้าใจเนื้องานมากขึ้น รู้วิธีจัดการกับผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ
ช่วงหนึ่งปีแรกของสงคราม เนอร์มีนไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียเลยเพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งเธอได้พบ ‘ฮาซีป’ แพทย์ชาวปากีสถานที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน ฮาซีปเป็นคนแรกที่บอกให้เนอร์มีนส่งเรื่องราวชีวิตของเธอมาให้
“ตอนนั้นฉันตอบไปว่า ‘เรื่องของฉันเนี่ยนะ? ฉันไม่มีเรื่องราวอะไรทั้งนั้น’ เขาเลยบอกกลับมาว่า ‘เธอเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสามอาศัยอยู่ในพื้นที่สงคราม เธอเรียนอยู่และทำงานอาสาสมัครไปด้วย มันคือเรื่องราว’ สุดท้ายฉันตอบตกลง แล้วเขียนเรื่องราวและความเจ็บปวดของฉันส่งไปให้เขา”
ไม่นานจากนั้น ฮาซีปก็เข้ามาเซอร์ไพรส์และบอกว่าสิ่งที่เนอร์มีนเขียนได้ถูกเผยแพร่ลงทางในเว็บไซต์สาธารณะเรียบร้อยแล้ว บทความดังกล่าวเป็นเหมือนประตูที่ทำให้เธอเริ่มใช้โซเชียลมีเดีย (@nermeenziyad) และติดต่อกับเพื่อน ๆ จากต่างประเทศ แพทย์ชาวญี่ปุ่นและอเมริกาที่เธอรู้จักพยายามส่งเงินมาให้เธอ แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางการโอนเงินจากต่างประเทศไปที่กาซา เช่น การที่คนปาเลสไตน์ถูกระงับใช้บัญชีธนาคาร
แพทย์ชาวอเมริกาจึงแนะนำให้เธอรู้จัก gofundme แพลตฟอร์มรับบริจาคเงิน ญาติของเธอที่อาศัยอยู่เบลเยี่ยมช่วยสร้างแอ็กเคานต์ให้เธอ เธอใช้เวลากว่าห้าเดือนในการสื่อสารแคมเปญรับบริจาคผ่านโซเชียล จนสุดท้ายได้เงินมากว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 350,000 บาท) อย่างไรก็ตาม เพราะปัญหาการระงับใช้บัญชียังคงอยู่ ทำให้การโอนเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของเธอไม่สามารถทำได้
“หลังจากนั้นก็คิดเลยว่า จะไม่เปิดรับบริจาคอีกแล้ว เพราะเหนื่อยมาก ๆ”
จนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025 เธอได้รับการติดต่อสัมภาษณ์จากนักข่าวต่างประเทศ นี่เป็นอีกครั้งที่มีคนเสนอให้เนอร์มีนลองใช้ gofundme ตอนแรกเธอปฏิเสธ สุดท้ายนักข่าวต่างประเทศจึงลองใช้วิธีการโอนเงินยอดน้อย ๆ ไปก่อนเพื่อตรวจเช็กเผื่อว่าบัญชีของเธอจะสามารถรับเงินโอนต่างประเทศได้ ผ่านไปสามวันเนอร์มีนก็ได้รับยอด
“ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เลยเปิดรับเงินบริจาคอีกครั้ง เพราะในครอบครัวไม่มีใครสามารถหาเงินได้เลย และฉันเป็นพี่คนโต… จริง ๆ ตอนแรกฉันอยากจะใช้เงินบริจาคในการจ่ายค่าเทอม แต่ก็ทำไม่ได้เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านมันสูงมาก โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมาที่ราคาของทุกอย่างในตลาดมันแพงมาก”
เนอร์มีน เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี
เนอร์มีนเล่าว่าช่วงก่อนหน้านี้เวลาเธอไปแลกเงินสด เธอต้องเสียค่านายหน้ากว่า 20-50% ภายหลังจากการประกาศหยุดยิงก็ยังเสียค่านายหน้ากว่า 15%
ระบบการใช้จ่ายเงินของกาซาในช่วงภาวะสงคราม
ธนาคารส่วนใหญ่ในกาซาถูกทำลายและหลายแห่งโดนปล้น แม้ธนาคารบางสาขากลับมาเปิดให้บริการหลังจากช่วงการประกาศหยุดยิงในเดือนตุลาคมปี 2025 แต่ตู้เอทีเอ็มยังไม่สามารถใช้งานได้ ผู้คนจำเป็นต้องใช้เงินสดในการซื้ออาหาร จึงต้องเสียค่านายหน้าเงินนอกระบบเพื่อแลกเงินจากเงินโอนดิจิทัล
“แม้กระทั่งตอนนี้ ธนาคารก็ยังปิดอยู่ คนส่วนใหญ่ที่รับแลกเงินสดก็เป็นคนที่เคยทำธุรกิจหรือมีเงินสดอยู่ในมือ เขาก็จะนั่งอยู่ในร้านค้า ให้เราเดินไปแลกเงิน เราก็ต้องโอนเงินให้เขา เอาจริง ๆ มันไม่แฟร์หรอกที่เขาจะมาทำแบบนี้ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะธนาคารก็ยังปิดอยู่”
5
ช่วงสองปีที่ผ่านมา เนอร์มีนพบเจอกับเรื่องราวมากมาย เธอเห็นเพื่อนบ้านเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาเห็นภาพติดตาซ้ำ ๆ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเด็กสาววัยสามขวบที่กำลังจะเสียชีวิตจากระเบิด
เนอร์มีน เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้ดี วันหนึ่งช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันนอนอยู่ที่บ้าน ปิดนาฬิกาปลุกเพราะไม่อยากจะไปทำงาน (ที่โรงพยาบาลยูโรเปียน กาซา) วันนั้นรู้สึกขี้เกียจมาก ไม่รู้ทำไม ครอบครัวยังถามฉันเลยว่า ปกติไม่เคยหยุดงาน ทำไมวันนี้อยู่ดี ๆ ถึงหยุด ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ ผ่านไปสองชั่วโมง เราก็ได้ยินเสียงระเบิด 20 กว่าครั้ง แค่ภายในเวลา 5-7 นาที มันเร็วมาก”
พอเนอร์มีนเปิดอินเทอร์เน็ตดูข้อมูลข่าวสาร ถึงรู้ว่าอิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีที่โรงพยาบาลยูโรเปียน กาซา เธอเห็นคลิปวิดิโอที่พื้นของโรงพยาบาลถล่มลงไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานของเธอ
“ตอนนั้นมีเพื่อนจากต่างประเทศมากมายที่ทักมาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่ได้ตอบใครไปเลย เพราะตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก” สำหรับเนอร์มีน โรงพยาบาลยูโรเปียน กาซา คือสถานที่โปรด มีทั้งเพื่อน และคนไข้
หลังจากที่โรงพยาบาลโดนระเบิด ช่วงกลางดึกเธอมักจะได้ยินเสียงระเบิดและเสียงกรีดร้องอย่างสม่ำเสมอจากละแวกบ้านของเธอ วันหนึ่งเนอร์มีนมองออกไปผ่านหน้าต่าง เห็นคนนอนบาดเจ็บ เสียเลือดอยู่กลางถนน เธอเลยหยิบผ้าฮิญาบออกไปเพื่อห้ามเลือดเขา เพราะตอนนั้นไม่มีเครื่องมือปฐมพยาบาลอยู่กับตัว เธอพยายามโทรหาเพื่อนให้ช่วยส่งรถพยาบาลมาช่วยเหลือ ไม่นานจากนั้น เพื่อนเธอส่งข้อความกลับมาว่า ไม่สามารถเข้าไปในละแวกบ้านของเธอได้ เพราะตอนนี้เป็นพื้นที่สีแดง เธอต้องอพยพเดี๋ยวนี้
ตอนนั้นเนอร์มีนแปลกใจเพราะไม่เห็นข่าวที่ระบุว่าบริเวณที่เธออยู่กลายเป็นพื้นที่สีแดง รวมทั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตในตอนนั้นก็ค่อนข้างแย่ เธอจึงรีบกระจายข่าวให้ผู้คนในละแวกบ้านทราบ และอพยพไปยังบ้านของคุณยาย
“ถ้าตอนนั้นเพื่อนฉันไม่ได้บอกว่าพื้นที่บ้านเราเป็นสีแดง ตอนนี้ฉันอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้”
เนอร์มีนเล่าว่าส่วนใหญ่ก็จะติดตามข้อมูลข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บไซต์ต่าง ๆ และข้อมูลจากสำนักข่าว โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่จะช่วยระบุตำแหน่งของ พื้นที่สีแดง พื้นที่สีเหลือง และพื้นที่สีเขียว ภายในเว็บไซต์จะระบุว่าพื้นที่ไหนที่เราควรอพยพออกมา และพื้นที่ไหนที่เราสามารถอพยพเข้าไปพักพิงได้
“อินเทอร์เน็ตจึงสำคัญมาก เพราะมันจะบอกว่ากำลังมีระเบิดอยู่ตรงไหนในกาซา เพราะบางทีเราไม่รู้อย่างแน่ชัด ว่าเกิดขึ้นตรงไหน หรือตั้งใจจะระเบิด ‘ใคร’ เราเลยมักจะใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข้อมูล จะได้สามารถโทรบอกญาติหรือคนรู้จักที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง”
เนอร์มีน เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี
นอกจากใช้อินเทอร์เน็ตในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้ว เธอก็ยังใช้อินเทอร์เน็ตเป็นหลักในการศึกษา ช่วงที่เธออยู่ปีสามคือช่วงเดียวกันกับที่เธอทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลยูโรเปียน กาซา เธอมักจะใช้อินเทอร์เน็ตจากโรงพยาบาลเพื่อดาวน์โหลดเนื้อหาการบรรยาย เพราะบ้านเธอไม่มีอินเทอร์เน็ตในตอนนั้น และหากมีช่วงพักระหว่างทำงาน เธอก็จะดูเนื้อหานั้น ๆ และจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้
“คือฉันไม่มีทางเลือก ถ้าสมมติหยุดเรียน ก็จะสูญเสียความฝัน ฉันยอมไม่ได้ สุดท้ายเลยเรียนจบปีสามอย่างสมบูรณ์ในช่วงสงคราม”
เนอร์มีน เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี
เธอเล่าว่ามีหลายครั้งที่เธอกำลังทำข้อสอบออนไลน์ แล้วอินเทอร์เน็ตก็จะหลุดไปดื้อ ๆ
“คิดออกไหมว่านักศึกษาคนหนึ่งจะกังวลขนาดไหนที่ต้องทำข้อสอบไป แล้วอินเทอร์เน็ตก็หลุดไปเรื่อย ๆ พูดจริง ๆ ว่าฉันทำข้อสอบไปร้องไห้ไป อัลฮัมดูลิลลาฮ์ สุดท้ายก็ผ่านมาได้”
สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงปัญหาเดียวสำหรับการศึกษามหาวิทยาลัยในรูปแบบออนไลน์ เพราะเนอร์มีนยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องแบตเตอรี่มือถือ เธอมักจะพกแบตสำรองไปชาร์จระหว่างทำงานที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ดี เมื่อเธอกลับมาที่บ้าน เธอจะให้แบตเตอรี่สำรองกับครอบครัวของเธอ ทั้งน้องสาวและน้องชายเพื่อทำการบ้านและทำข้อสอบ
“ฉันไม่สามารถคิดแต่เรื่องตัวเองได้ ครอบครัวต้องการฉัน ฉันเป็นพี่สาวคนโต มีน้องสาวสามคน มีน้องชายอีกสามคน ตอนนี้เราอยู่ในเตนท์เดียวกันทั้งครอบครัวรวมถึงพ่อแม่ แต่ฉันเป็นแค่คนเดียวที่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว” เนอร์มีนมองว่ามันไม่ง่ายเลยที่เธอต้องเป็นคนที่แบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครอบครัว บางทีก็เธอก็รู้สึกเครียดเพราะกำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้ง
“ในขณะที่นักศึกษาแพทย์ทั่วโลกได้โฟกัสกับเรียน กังวลแค่ว่าจะสอบได้คะแนนแบบที่ตัวเองหวังไหม ส่วนฉัน เรื่องสอบหรือเรื่องคะแนนยังไม่มีเวลาจะมาคิดเลย”
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเนอร์มีนถึงใช้โซเชียลมีเดีย เธอมองว่าหากไม่ได้สื่อสารออกไป คนอื่น ๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่านักศึกษาแพทย์ในกาซาต้องพบเจอกับอะไร รวมถึงหากไม่มีพื้นที่สื่อสารตรงนี้ เธอก็ไม่รู้จะเงินมาจากไหนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว อย่างไรก็ดี เนอร์มีนเล่าว่าเธอมักจะหลีกเลี่ยงการสื่อสารประเด็นการเมืองโดยตรง เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
แล้วคุณต้องการให้ผู้คนที่ติดตามคุณทำอะไรบ้าง หลังจากที่อ่านเรื่องราวของคุณ? – นิสิตนักศึกษาตั้งคำถามสุดท้าย เนื่องจากตอนนี้แบตเตอรี่มือถือของเนอร์มีนเหลือเพียงแค่ 20% จาก 60%
“ฉันไม่สามารถบอกให้ใครมาสนับสนุน เพราะเอาตามตรง ทุกคนมีสถานการณ์ชีวิตของตัวเอง สุดท้ายคุณก็ไม่รู้ว่าเงินที่คุณบริจาคมานั้นถูกใช้แบบไหน ถูกใช้ด้วยเหตุผลอะไร ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญจึงเป็นการติดตามเรื่องราวของพวกเรา พูดถึงเรื่องในกาซาอยู่เสมอ แชร์เรื่องราวของพวกเรา เพราะที่แห่งนี้มีคนมากมายที่มีความฝัน มีคนมากมายที่มีความสามารถ ขอแค่อย่าลืมพวกเรา”
เนอร์มีน เด็กสาวชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี
- นิสิตนักศึกษาสัมภาษณ์คาริมในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ↩︎
- อัลฮัมดูลิลลาฮ์ (Alhamdulillah) เป็นวลีภาษาอาหรับที่แปลว่า “การสรรเสริญทั้งหมดเป็นของอัลลอฮฺ” หรือ “ขอบคุณพระเจ้า” ↩︎
- นิสิตนักศึกษาสัมภาษณ์จานาในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง และตัวจานาและครอบครัวต้องการให้เปิดเผยตัวตนในการสัมภาษณ์
↩︎ - นิสิตนักศึกษาสัมภาษณ์เนอร์มีนในวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ↩︎

















0 comments on ““เราก็เป็นมนุษย์ มีเรื่องเล่า มีความฝัน”: การเล่าเรื่องชีวิตคนกาซาผ่านโซเชียลมีเดีย”