เรื่อง : โมเลกุล จงวิไล
ภาพ : ชินภัทร จันทร์หล้าฟ้า, ชนนิกานต์ แก้วแก่นเพชร
บริเวณริมถนนดินสอ เยื้องเสาชิงช้าเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งสถานที่อายุกว่า 200 ปีซึ่งมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ แม้จะไม่ใหญ่โตโออ่า แต่ ‘เทวสถานโบสถ์พราหมณ์’ แห่งนี้ก็มีสถานะเสมือนศูนย์กลางความเชื่อแบบพราหมณ์ในไทยที่มีผู้คนหลั่งไหล่เข้ามาสักการะบูชาอยู่ไม่ขาด ด้วยเหตุผลนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของเทวสถาน ศิลปะอันงดงามของประติมากรรม หรือบรรยากาศแสนเงียบสงบ
เมื่อขึ้นชื่อว่า ศาสนสถาน (บวกโบราณ) คงพอเดาได้ไม่ยากว่าบรรดาผู้เยี่ยมชมส่วนใหญ่จะเป็นวัยกลางคนไปจนถึงสูงอายุ แต่สำหรับโบสถ์พราหมณ์ ภาพจำเดิมๆ นี้อาจต้องยกเว้นไว้ เพราะในบรรดาผู้มาเยือนก็มีกลุ่มวัยรุ่นปะปนอยู่ไม่น้อย
“นิสิตนักศึกษา” จึงอยากค้นหาความเป็นมาและเหตุผลว่าเพราะอะไรเทวสถานแห่งนี้จึงยังสามารถจูงใจคนรุ่นใหม่ให้แวะเวียนไปเที่ยวชมได้
ประวัติความเป็นมา & หน้าตาปัจจุบัน
โบสถ์พระศิวะ
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2327 ตามคำบอกเล่าของพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพรามหณ์คนปัจจุบัน ย้อนกลับไปในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างศาสนสถานของพราหมณ์ไว้ ณ ตำแหน่งกึ่งกลางเมือง ตามหลักความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
“รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างเมืองโดยวัดพื้นที่จากแม่น้ำถึงกำแพงเมือง และตั้งสถานสักการะเทพยดา หรือ โบสถ์พราหมณ์ไว้เป็นศูนย์กลาง ตามหลักการสร้างเมือง” พระมหาราชครูฯ เล่า “ภายในทำเป็นอาคารสามหลัง มีโบสถ์พระศิวะ พระพิฆเนศ และพระนารายณ์ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัย ร.1”
โบสถ์พระพิฆเนศ (หลังใกล้) และโบสถ์พระนารายณ์ (หลังไกล)
เทวสถานประกอบด้วยอาคารก่ออิฐถือปูน (หมายถึงอาคารที่ก่อด้วยอิฐและฉาบปูนทับ) สามหลัง ตั้งเรียงกันโดยหันหน้าออกไปทางถนนพร้อมมีกำแพงล้อม แต่ละหลังเป็นอาคารชั้นเดียว ทาสีขาว ส่วนใหญ่มีผนังเรียบไม่มีลวดลาย สื่อถึงความเงียบสงบ โบสถ์ทั้งสามตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็สามารถเดินชมเทวสถานแห่งนี้ได้ครบ ส่วนบริเวณท้ายเทวสถานเป็นอาคารหลังใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 ชั้นล่างใช้เป็นสำนักงาน และชั้นบนเป็นห้องสมุดเก็บหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ซึ่งเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมได้
สักการะบูชา เทพยดาทั้ง 4
“ลองเข้าไปกราบกันรึยัง?” พระมหาราชครูฯ ถามกลับเมื่อ “นิสิตนักศึกษา” เอ่ยถามถึงเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมและมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมาก
ประธานพระครูพราหมณ์เล่าว่าภายในเทวสถานมีเทวรูปสำคัญ 4 องค์อันได้แก่ พระพิฆเนศ พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด บ้างมาเยี่ยมชม บ้างมาสักการะบูชา แต่ก็มีผู้ที่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะศาลพระพรหมที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าทำให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมารู้สึกสะดุดตาจนอยากเข้ามาเยี่ยมชม
ศาลพระพรหมบริเวณทางเข้าเทวสถาน
เทวรูปทั้ง 4 ยังมีความเก่าแก่ เพราะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขมัย แต่ละองค์เป็นตัวแทนของสิ่งศิริมงคลต่างๆ “เริ่มไหว้พระพิฆเนศเพื่อเอาปัญญา จากนั้นก็ไหว้พระพรหมซึ่งเป็นผู้สร้าง รับเอาความเมตตา ต่อไปก็พระนารายณ์ ตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นระเบียบ และมาปิดท้ายที่ศิวลึงค์ (พระอิศวร) พระบิดาของจักรวาล การกำเนิดไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรับเอาความสงบร่มเย็นและการหลุดพ้น” พระมหาราชครูฯ แนะนำลำดับการเยี่ยมชม
โบสถ์พราหมณ์ ตามความคิดคนรุ่นใหม่
“นิสิตนักศึกษา” ลองสอบถามคนรุ่นใหม่ถึงความรู้สึกและปัจจัยที่ทำให้พวกเขาเลือกเข้ามาเยี่ยมชมศาสนสถานโบราณแห่งนี้
ธัธริยา ธรรมรักษ์ บัณฑิตจบใหม่อายุ 22 ปี เล่าให้ฟังว่า เธอกับกลุ่มเพื่อนรู้จักโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นครูมอบหมายให้เธอมาทำรายงานที่มิวเซียมสยามซึ่งอยู่บริเวณโรงเรียนวัดราชบพิธและอยู่ในย่านเดียวกับเทวสถานฯ จึงได้มีโอกาสนั่งรถโดยสารผ่านสถานที่นี้ ธัธริยาสนใจเลยแวะเข้ามาเยี่ยมชม ก่อนจะประทับใจความสงบร่มเย็นของที่นี่และกลับมาเที่ยวอีกตลอด ทั้งช่วง ม.ปลาย มหาวิทยาลัย จนถึงทุกวันนี้
“ปกติเป็นคนชอบวาดรูปอยู่แล้ว เลยรู้สึกชอบศิลปะของที่นี่โดยเฉพาะรูปปั้น ส่วนตัวเป็นคนชอบความเงียบสงบ สำหรับที่นี่พอได้เข้าไปในโบสถ์เราจะรู้สึกถึงความสงบ รู้สึกเย็น รู้สึกสบาย” ธัธริยากล่าว
ประติมากรรมปูนปั้นบริเวณหน้าบันของโบสถ์พระศิวะ
ขณะที่ จิตาภา ทวีหันต์ นักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 20 ปี แบ่งปันประสบการณ์ว่า “รู้จักโบสถ์นี้สมัยเรียนอยู่ ม.6 เพราะไปเดินแถวย่านนั้นแล้วร้อน ก็เลยเข้าไปนั่งพักร่ม”
นักศึกษาหญิงบอกว่า จุดเด่นของศาสนสถานแห่งนี้คือความงาม โดยเฉพาะตัวอาคาร นอกจากนี้ศาลพระพรหมซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ยังมีความโดดเด่น “เราชอบที่มีสถานที่แบบนี้อยู่ เพราะมันทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีหลายความเชื่อซึ่งมาจากที่อื่น อีกอย่างคือคนดูแลที่นี่ก็ให้ข้อมูลดีว่าจะต้องไหว้อะไรก่อน อะไรหลัง” จิตาภาเสริม
แม้ความเชื่อเรื่องศาสนาในสังคมยุคใหม่จะเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา แต่ลึกๆ แล้วมนุษย์ทุกคนล้วนยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจให้ได้พึ่งพิงเมื่อต้องการปลีกหนีจากโลกภายนอก ตามความเห็นของพระมหาราชครูฯ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากรวมถึงคนรุ่นใหม่ยังหลั่งไหลเข้ามายังเทวสถานแห่งนี้อยู่ไม่ขาด
“คนที่มาสักการะบูชา คือคนที่ต้องการความสุข สงบ ร่มเย็น เราไปไหว้พระบ่อยๆ เพื่อทำให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เพื่อยันอบายมุข กิเลสต่างๆ ที่จะเข้ามาจากภายนอก ทำให้ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างสถานที่สักการะแบบนี้ เพื่อที่เมื่อมีทุกข์จากโลกภายนอกแล้วต้องการความสงบ จะได้เข้ามาได้” พระมหาราชครูฯ กล่าว
Like this:
Like Loading...
เรื่อง : โมเลกุล จงวิไล
ภาพ : ชินภัทร จันทร์หล้าฟ้า, ชนนิกานต์ แก้วแก่นเพชร
บริเวณริมถนนดินสอ เยื้องเสาชิงช้าเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งสถานที่อายุกว่า 200 ปีซึ่งมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ แม้จะไม่ใหญ่โตโออ่า แต่ ‘เทวสถานโบสถ์พราหมณ์’ แห่งนี้ก็มีสถานะเสมือนศูนย์กลางความเชื่อแบบพราหมณ์ในไทยที่มีผู้คนหลั่งไหล่เข้ามาสักการะบูชาอยู่ไม่ขาด ด้วยเหตุผลนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของเทวสถาน ศิลปะอันงดงามของประติมากรรม หรือบรรยากาศแสนเงียบสงบ
เมื่อขึ้นชื่อว่า ศาสนสถาน (บวกโบราณ) คงพอเดาได้ไม่ยากว่าบรรดาผู้เยี่ยมชมส่วนใหญ่จะเป็นวัยกลางคนไปจนถึงสูงอายุ แต่สำหรับโบสถ์พราหมณ์ ภาพจำเดิมๆ นี้อาจต้องยกเว้นไว้ เพราะในบรรดาผู้มาเยือนก็มีกลุ่มวัยรุ่นปะปนอยู่ไม่น้อย
“นิสิตนักศึกษา” จึงอยากค้นหาความเป็นมาและเหตุผลว่าเพราะอะไรเทวสถานแห่งนี้จึงยังสามารถจูงใจคนรุ่นใหม่ให้แวะเวียนไปเที่ยวชมได้
ประวัติความเป็นมา & หน้าตาปัจจุบัน
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2327 ตามคำบอกเล่าของพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพรามหณ์คนปัจจุบัน ย้อนกลับไปในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างศาสนสถานของพราหมณ์ไว้ ณ ตำแหน่งกึ่งกลางเมือง ตามหลักความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
“รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างเมืองโดยวัดพื้นที่จากแม่น้ำถึงกำแพงเมือง และตั้งสถานสักการะเทพยดา หรือ โบสถ์พราหมณ์ไว้เป็นศูนย์กลาง ตามหลักการสร้างเมือง” พระมหาราชครูฯ เล่า “ภายในทำเป็นอาคารสามหลัง มีโบสถ์พระศิวะ พระพิฆเนศ และพระนารายณ์ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัย ร.1”
เทวสถานประกอบด้วยอาคารก่ออิฐถือปูน (หมายถึงอาคารที่ก่อด้วยอิฐและฉาบปูนทับ) สามหลัง ตั้งเรียงกันโดยหันหน้าออกไปทางถนนพร้อมมีกำแพงล้อม แต่ละหลังเป็นอาคารชั้นเดียว ทาสีขาว ส่วนใหญ่มีผนังเรียบไม่มีลวดลาย สื่อถึงความเงียบสงบ โบสถ์ทั้งสามตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็สามารถเดินชมเทวสถานแห่งนี้ได้ครบ ส่วนบริเวณท้ายเทวสถานเป็นอาคารหลังใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 ชั้นล่างใช้เป็นสำนักงาน และชั้นบนเป็นห้องสมุดเก็บหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ซึ่งเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมได้
สักการะบูชา เทพยดาทั้ง 4
“ลองเข้าไปกราบกันรึยัง?” พระมหาราชครูฯ ถามกลับเมื่อ “นิสิตนักศึกษา” เอ่ยถามถึงเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมและมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมาก
ประธานพระครูพราหมณ์เล่าว่าภายในเทวสถานมีเทวรูปสำคัญ 4 องค์อันได้แก่ พระพิฆเนศ พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด บ้างมาเยี่ยมชม บ้างมาสักการะบูชา แต่ก็มีผู้ที่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะศาลพระพรหมที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าทำให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมารู้สึกสะดุดตาจนอยากเข้ามาเยี่ยมชม
เทวรูปทั้ง 4 ยังมีความเก่าแก่ เพราะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขมัย แต่ละองค์เป็นตัวแทนของสิ่งศิริมงคลต่างๆ “เริ่มไหว้พระพิฆเนศเพื่อเอาปัญญา จากนั้นก็ไหว้พระพรหมซึ่งเป็นผู้สร้าง รับเอาความเมตตา ต่อไปก็พระนารายณ์ ตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นระเบียบ และมาปิดท้ายที่ศิวลึงค์ (พระอิศวร) พระบิดาของจักรวาล การกำเนิดไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรับเอาความสงบร่มเย็นและการหลุดพ้น” พระมหาราชครูฯ แนะนำลำดับการเยี่ยมชม
โบสถ์พราหมณ์ ตามความคิดคนรุ่นใหม่
“นิสิตนักศึกษา” ลองสอบถามคนรุ่นใหม่ถึงความรู้สึกและปัจจัยที่ทำให้พวกเขาเลือกเข้ามาเยี่ยมชมศาสนสถานโบราณแห่งนี้
ธัธริยา ธรรมรักษ์ บัณฑิตจบใหม่อายุ 22 ปี เล่าให้ฟังว่า เธอกับกลุ่มเพื่อนรู้จักโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นครูมอบหมายให้เธอมาทำรายงานที่มิวเซียมสยามซึ่งอยู่บริเวณโรงเรียนวัดราชบพิธและอยู่ในย่านเดียวกับเทวสถานฯ จึงได้มีโอกาสนั่งรถโดยสารผ่านสถานที่นี้ ธัธริยาสนใจเลยแวะเข้ามาเยี่ยมชม ก่อนจะประทับใจความสงบร่มเย็นของที่นี่และกลับมาเที่ยวอีกตลอด ทั้งช่วง ม.ปลาย มหาวิทยาลัย จนถึงทุกวันนี้
“ปกติเป็นคนชอบวาดรูปอยู่แล้ว เลยรู้สึกชอบศิลปะของที่นี่โดยเฉพาะรูปปั้น ส่วนตัวเป็นคนชอบความเงียบสงบ สำหรับที่นี่พอได้เข้าไปในโบสถ์เราจะรู้สึกถึงความสงบ รู้สึกเย็น รู้สึกสบาย” ธัธริยากล่าว
ขณะที่ จิตาภา ทวีหันต์ นักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 20 ปี แบ่งปันประสบการณ์ว่า “รู้จักโบสถ์นี้สมัยเรียนอยู่ ม.6 เพราะไปเดินแถวย่านนั้นแล้วร้อน ก็เลยเข้าไปนั่งพักร่ม”
นักศึกษาหญิงบอกว่า จุดเด่นของศาสนสถานแห่งนี้คือความงาม โดยเฉพาะตัวอาคาร นอกจากนี้ศาลพระพรหมซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ยังมีความโดดเด่น “เราชอบที่มีสถานที่แบบนี้อยู่ เพราะมันทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีหลายความเชื่อซึ่งมาจากที่อื่น อีกอย่างคือคนดูแลที่นี่ก็ให้ข้อมูลดีว่าจะต้องไหว้อะไรก่อน อะไรหลัง” จิตาภาเสริม
แม้ความเชื่อเรื่องศาสนาในสังคมยุคใหม่จะเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา แต่ลึกๆ แล้วมนุษย์ทุกคนล้วนยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจให้ได้พึ่งพิงเมื่อต้องการปลีกหนีจากโลกภายนอก ตามความเห็นของพระมหาราชครูฯ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากรวมถึงคนรุ่นใหม่ยังหลั่งไหลเข้ามายังเทวสถานแห่งนี้อยู่ไม่ขาด
“คนที่มาสักการะบูชา คือคนที่ต้องการความสุข สงบ ร่มเย็น เราไปไหว้พระบ่อยๆ เพื่อทำให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เพื่อยันอบายมุข กิเลสต่างๆ ที่จะเข้ามาจากภายนอก ทำให้ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างสถานที่สักการะแบบนี้ เพื่อที่เมื่อมีทุกข์จากโลกภายนอกแล้วต้องการความสงบ จะได้เข้ามาได้” พระมหาราชครูฯ กล่าว
Share this:
Like this: