เรื่อง : วรรณิกา อุดมสินวัฒนา
ภาพ : วรรณิกา อุดมสินวัฒนา
ยินดีต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการชิงช้าสวรรค์ หมุนติ้วๆ เวลาดี 16:30 ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี!
ก่อนที่รายการแข่งขันประกวดร้องเพลงจะเกิดขึ้นอย่างมากมายและเป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้ ทั้งการเฟ้นหาทีป็อปไอดอลอย่าง 789 Survival หรือรายการ Girl Group Star ที่เป็นจุดกำเนิดของวงเกิร์ลกรุ๊ปไทยอย่าง ‘4EVE’ เป็นต้น เชื่อว่าใครหลายคนต้องเคยได้ยินประโยคข้างต้นจากหน้าโทรทัศน์ ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
ชิงช้าสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งรายการประกวดแข่งขันที่โด่งดังมากว่าสิบปี โดยมีเอกลักษณ์คือผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นวงดนตรีลูกทุ่งจากระดับมัธยมศึกษา ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวีในพ.ศ.2547 ภายหลังย้ายไปช่องเวิร์กพอยต์ในพ.ศ.2558
ปัจจุบัน ชิงช้าสวรรค์ยังคงหมุนต่อไปดังชื่อรายการ ทว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัย โดยมีการตระเวนไปตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจาก 5 จังหวัดของแต่ละภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช แล้วคัดเลือกวงดนตรีลูกทุ่งระดับมัธยมศึกษา 20 ทีมเพื่อประกวดในระดับประเทศ ซึ่งทีมที่ชนะการประกวดจะได้ครองถ้วยพระราชทาน พร้อมทุนการศึกษา 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี รายการชิงช้าสวรรค์จะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าหากขาดตัวแปรสำคัญอย่างผู้เข้าร่วมแข่งขัน หรือ ‘กลุ่มนักเรียนมัธยม’ เนื่องจากนักเรียนจากหลากหลายพื้นที่ทั่วไทยได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ อีกทั้งยังใช้เวลาพักผ่อนในช่วงปิดเทอมไปกับการฝึกซ้อมเพื่อมาแข่งประกวดรายการดังกล่าว
วันนี้ นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสเข้าใกล้เส้นทางความฝันของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมากขึ้น เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือตึกใหญ่สีขาว หน้าตึกมีธงชาติตั้งตรงตระหง่าน สถานที่นี้คงเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากโรงเรียน และที่นี่คือโรงเรียนศึกษานารี
“ลูกทุ่งมีเสน่ห์ของมันนะ ยิ่งพอเป็นวง ต้องอาศัยเครื่องดนตรี อาศัยแรงคนจำนวนมาก ก็ยิ่งยาก คนไทยเราอาจจะมีภาพจำเนอะ ว่าคนเล่นดนตรีต้องเป็นผู้ชาย ต้องกำยำ ถ้าผู้หญิงมาเล่นจะไหวไหม แต่ถ้าได้ดูชิงช้าสวรรค์ ก็จะรู้เลยว่าศึกษานารีทำได้”
ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ หรือครูโอ๋ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิษย์เก่าโรงเรียนศึกษานารี เล่าให้ฟังถึงความสามารถของคณะวงดนตรีศึกษานารี
นอกเหนือจากความโดดเด่นในด้านวิชาการของโรงเรียนศึกษานารีแล้ว อีกด้านหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือประวัติวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนที่มีมายาวนานกว่าสิบปี
ย้อนกลับไปในพ.ศ. 2549 โรงเรียนศึกษานารีได้เข้าร่วมรายการชิงช้าสวรรค์เป็นครั้งแรก และได้คว้าแชมป์ประจำฤดูมาครอง ในพ.ศ. 2550 ศึกษานารีก็ได้ตำแหน่งรองแชมป์ประจำฤดูไปครอง ทว่าในเวลาถัดมา โรงเรียนก็ทิ้งช่วงจากรายการแข่งขันไปสักพักเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ
จนกระทั่งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ศึกษานารีก็มีโอกาสได้เข้าร่วมแข่งรายการชิงช้าสวรรค์อีกครั้ง การแข่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งนี้
หน้าห้องประชุมขนาดเกือบ 30 ตารางเมตร ก่อนเปิดประตูเข้าไป ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงดังทะลุออกมา
ตะแบกบาน
“สวัสดีค่า วงตะแบกบานค่า” เหล่าเด็กผู้หญิงกว่า 30 ชีวิต กล่าวทักทายผู้มาเยือนอย่างพร้อมเพรียง
“ชื่อวง ‘ตะแบกบาน’ มาจากชื่อดอกตะแบก ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียนของศึกษานารีค่ะ” คุณครูดวงรัตน์ ชีววิวรรธน์ คุณครูวิชานาฏศิลป์ที่ควบตำแหน่งผู้จัดการวงตะแบกบานเล่าให้ฟัง
ห้องประชุมขนาดใหญ่ มีที่กว้างมากพอจะแบ่งเป็นสองโซน โซนหนึ่งสำหรับกลุ่มวงดนตรี และโซนหนึ่งสำหรับกลุ่มแดนเซอร์ เราเห็นเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดีดอย่างกีตาร์ เครื่องตีอย่างกลอง รวมถึงเครื่องเป่าลมไม้และเครื่องเป่าลมทองเหลืองอย่างทรัมเป็ตหรือทรอมโบน
“เวลาเราร้องเพลงไทยสากล บางทีใช้เครื่องดนตรีสี่ชิ้นก็สมบูรณ์แล้ว เปียโน กลอง กีตาร์ เบส แต่วงลูกทุ่งเขาเรียกว่า Big Band ต้องยิ่งใหญ่ อลังการ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องเป่าด้วย ฉะนั้นถ้าเสียงของนักร้องไม่แข็งแรงพอ อาจจมไปกับดนตรีได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่ทุกคนฝึกซ้อมมาอย่างดี นักร้องร้องถึง วงลูกทุ่งก็จะมีพลังมากๆ” ครูโอ๋จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงศักยภาพของวงดนตรีลูกทุ่ง
ระหว่างการซ้อม เสียงดนตรีดังเซ็งแซ่ที่ได้ยินก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอลังการที่ครูโอ๋เล่าให้ฟังได้เป็นอย่างดี
ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องประชุมก็ไม่หยุดอยู่นิ่ง ทีมแดนเซอร์ ฉีกแข้ง ฉีกขา ยืดเหยียดร่างกายไปตามเสียงเพลงอยู่เรื่อยๆ ขณะนั้นเอง ครูดวงรัตน์ หรือผู้จัดการวงตะแบกบานก็ได้เล่าให้เราฟังถึงตารางการซ้อมอันหนักหน่วงในช่วงปิดเทอมนี้
“สำหรับช่วงตุลาคม วงตะแบกบานกำลังซ้อมสำหรับงานศิลปหัตถกรรม (นักเรียน) ครั้งที่ 71 ปีการศึกษา 2566 ค่ะ เป็นรายการที่ศึกษานารีไปแข่งทุกปี ช่วงนี้ปิดเทอมก็จะซ้อมทุกวันเลย ตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น แต่ถ้าช่วงใกล้แข่งมากๆ ก็จะขอผู้ปกครองไว้ถึงสัก 2-3 ทุ่มเลย”
ครูดวงรัตน์ยังเพิ่มเติมอีกว่า องค์ประกอบของวงลูกทุ่งแบ่งเป็นสามฝ่ายใหญ่ๆ ส่วนแรกคือนักร้อง ส่วนที่สองคือนักดนตรี และส่วนที่สามคือแดนเซอร์
ซึ่งขั้นตอนทำงานจะแบ่งเป็นช่วงๆ โดยในช่วงแรก วงดนตรีจะต้องตัดสินใจเลือกเพลงและคอนเซปต์การแสดงร่วมกัน หลังจากนั้น แต่ละฝ่ายจะแยกย้ายกันซ้อม ฝั่งนักดนตรีจะเขียนโน้ต ปรับโน้ต และนำมาพูดคุยต่อยอดกับนักออกแบบท่าเต้นเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน นักออกแบบท่าเต้นจะไปคิดการแสดงและนำมาสอนเหล่าแดนเซอร์ในช่วงเวลาถัดมา ส่วนนักร้อง ก็จะทำงานในส่วนของการร้อง การใช้เสียง และการตีความความหมายเพลง
“แม้ตอนแรกจะแยกกันทำงาน แต่สุดท้าย สามส่วนก็ต้องเดินไปพร้อมๆ กัน เพราะวงลูกทุ่งมันต้องอาศัยความพร้อมเพรียงและความเป็นหมู่มวล”
ครูดวงรัตน์กล่าว
เหล่ามวลดอกไม้
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศการซ้อมของน้องๆ แดนเซอร์จำนวน 13 คน ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ในจำนวน 13 คนนี้ มีการคละนักเรียนตั้งแต่ม.1 – ม.5 บางคนเคยอยู่ชุมนุมวงดนตรีลูกทุ่งมาหลายปีแล้ว ส่วนบางคนก็เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน แต่ละคนมีประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป ทว่าสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ใจรักในการเต้น
“อย่างหนูเคยรำมาก่อน แล้วก็มาลองโคเวอร์แดนซ์ต่อ ก็เลยรู้สึกว่าชุมนุมนี้น่าจะใช่ทางเรา แถมยังได้ท้าทายตัวเองด้วย เพราะมันมีพวกท่ายิมนาสติกที่เราไม่เคยทำ”
“ส่วนหนูชอบเต้นเล่นๆ ขำๆ ที่บ้าน แต่ว่าชอบฟังเพลงลูกทุ่ง ก็เลยเข้าชุมนุมค่ะ”
น้องๆ เล่าให้เราฟังถึงเส้นทางก่อนจะมาเข้าวงตะแบกบาน และยังได้เพิ่มเติมถึงวิธีการคัดเลือกแดนเซอร์เข้าชุมนุม โดยทางคุณครูประจำชุมนุมจะพิจารณาจากพื้นฐานการเต้น และท่าเบสิก แต่สิ่งสำคัญที่สุดในเกณฑ์การพิจารณาก็คือ ‘ใจรัก’ เนื่องจากวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนมีตารางการซ้อมที่ค่อนข้างหนัก จำเป็นต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ หากเต้นเก่งแค่ไหน แต่ไม่มีแรงใจมากพอก็อาจจะล้มเลิกระหว่างทางได้
“ถ้าพอเต้นได้ผ่านขั้นพื้นฐานก็ผ่านค่ะ ส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ค่อยมาฝึกตอนเข้าชุมนุมก็ได้ แต่ที่สำคัญคือขอคนที่แพสชัน พร้อมให้ใจ เพราะมาแข่งอะไรพวกนี้มันเหนื่อย” นักเรียนอธิบายเพิ่ม
เมื่อเข้ามาด้วยแรงกายแรงใจเต็มเปี่ยม แล้วมีช่วงที่ท้อบ้างไหม?
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ต่อด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ
“เพราะตารางของเราในหนึ่งวันค่อนข้างแน่น เริ่มตั้งแต่วิ่งรอบสนามสักสิบรอบตอน 8 โมงเช้า เข้ามายืดเส้นยืดสายถึง 10 โมง แล้วก็ซ้อมท่าเทคนิค ตีลังกา ฉีกขา แล้วก็เก็บรายละเอียดท่าไปเรื่อยๆ พอทำซ้ำๆ ติดๆ กันหลายวันก็จะล้าบ้าง”
“อีกช่วงที่เหนื่อยที่สุดคือช่วงสอบ เพราะต้องแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือ เข้ามาแรกๆ ก็จะยังไม่ชิน ปรับตัวไม่ถูก แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้าที่ค่ะ”
ในบางที เราก็อาจจะหลงลืมไปว่าการเป็นนักเรียนมัธยมมันเหนื่อยกว่าที่คิด แต่สิ่งหนึ่งที่น้องๆ วงตะแบกบานทำเสมอเมื่อเจอปัญหา คือ การนั่งล้อมวงคุยกัน แบ่งปันปัญหาที่เจอ แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่อย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าปัญหาเหล่านี้ พร้อมมีคนรับฟังเสมอ
อีกฝั่งของห้องประชุม เสียงดนตรีก็ยังไม่เงียบลง ครูดวงรัตน์เล่าให้เราฟังว่าแต่ละฝ่ายจะมีครูเฉพาะทางมาดูแล ครูนาฏศิลป์สำหรับนักเต้น ครูดนตรีสากลสำหรับนักดนตรี นอกจากนี้ ก็ยังมีการเชิญวิทยากรที่มีความสามารถเฉพาะทางมาให้ความรู้เพิ่ม บ้างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ บ้างก็เป็นศิษย์เก่าที่เคยผ่านสนามแข่งมาหลายครั้ง
เมื่อช่วงเวลาพักเบรกมาถึง เหล่าน้องๆ นักดนตรีพากันไปตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำหวาน หยิบขนมมาเติมพลัง ระหว่างรับประทานขนมจุกจิก หนึ่งในนักดนตรีก็เล่าให้ฟังเพิ่มเติมถึงตารางการซ้อมที่เกิดขึ้นภายใต้ระยะเวลาที่มีจำกัด
“ส่วนมากรายการลูกทุ่งต่างๆ เขาจะกำหนดให้แข่งทั้งหมด 2 เพลง เป็นเพลงช้ากับเพลงเร็ว เราก็ต้องพยายามทำให้ดีทั้งคู่ เวลาซ้อมก็มีไม่เยอะ ประมาณเดือนสองเดือนเองค่ะ เริ่มจากแยกกันซ้อมตามประเภทเครื่องดนตรีก่อน แล้วก็มาเล่นรวมกัน พอเล่นรวมเสร็จ ก็มาดูรายละเอียดว่าแต่ละฝ่ายสามารถแก้อะไรได้บ้าง ค่อยๆ แก้กันไปทีละนิด มันก็จะค่อยๆ สมบูรณ์มากขึ้น”
“ยิ่งตอนชิงช้าสวรรค์ซ้อมหนักกว่าเวทีอื่นมาก ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นเวทีใหญ่ มีอัดนู่น อัดนี่ มีฉาก พร็อพ อลังการสุดๆ แถมเก็บตัวเยอะกว่าการแข่งเวทีอื่นมากๆ ช่วงนั้นคือเจอหน้าคนในวงแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย ก่อนนอนก็เจอ ตื่นมาก็เจออีก” น้องๆ เล่าไป หัวเราะไป
แม้เรื่องราวที่เล่าจะมีแต่ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่แววตาสดใสของน้องๆ ก็สะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้ต้องเจอสถานการณ์ลำบากแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะผ่านมันไป หากมีกันและกัน
“วงตะแบกบานเป็นเหมือนครอบครัวไปแล้ว ทั้งนักร้อง แดนเซอร์ นักดนตรีสนิทกันหมดเลย”
“เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยค่ะ อย่างหนูเข้ามาในวงตั้งแต่ม.1 อยู่กับมันมานานมากๆ ลองไปคำนวณดู มันคือ 1 ส่วน 8 ของชีวิตเลย (หัวเราะ) ถ้าวันไหนไม่ได้เจอกัน ก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”
น้อง
เมื่อต้นตะแบกผลิดอกออกผลเป็นนักเรียนที่มากด้วยความสามารถ เต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน ซึ่งหากใครได้พบเห็นคงอดไม่ได้ที่จะต้องเอาใจช่วยวงดนตรีลูกทุ่งประจำโรงเรียนศึกษานารีแห่งนี้
ฤดูผลิบาน
เรื่องราวดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ หรือครูโอ๋ เนื่องจากครูโอ๋เชื่อว่าลูกทุ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สมควรได้รับการเชิดชูไม่ต่างจากศิลปะแขนงอื่นๆ และที่สำคัญ เธอก็เชื่อว่าลูกทุ่งไม่จำเป็นต้องผูกโยงเข้ากับคำว่า ‘วัฒนธรรมไทย’ เสมอไป
“อย่างแรก เราต้องสร้างทัศนคติใหม่ต่อสังคมก่อนว่า ลูกทุ่งคือศิลปะธรรมดาประเภทหนึ่ง การที่เราชอบลูกทุ่ง ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนรสนิยมไม่ดี ไม่ใช่เรื่องหน้าอาย”
นอกจากนี้ ครูโอ๋ยังได้เสริมเพิ่มเติมอีกว่า สุดท้ายแล้ว ดนตรีลูกทุ่งคือสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราที่ถูกนำมาเล่าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึง สายลม แสงแดด ธรรมชาติ ความรัก หรือความเสียใจ การเกิดขึ้นของเวทีเหล่านี้ก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนมาแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ลูกทุ่งไทยยังไม่สามารถไปไกลได้เท่าที่ควร
“จริงๆ ครูพูดได้เลยว่าลูกทุ่งคือคำว่า ซอฟต์ (Soft) แต่ยังไม่มีคำว่า พาเวอร์ (Power) มาต่อท้าย เพราะตอนนี้มันเป็นเพียงศิลปะที่รอใครสักคนมาหนุนให้มันไปข้างหน้า แต่ทั้งผู้ผลิตสื่อเอง รัฐบาลเอง ก็ยังทำให้ลูกทุ่งเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมของต่างจังหวัด หรือยังติดแนวคิดว่าใครมาประกวดรายการลูกทุ่งจะต้องมาจากครอบครัวที่ยากจน ทั้งๆ ที่ศิลปะมันดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ผู้คนต่างหาก ที่กดศิลปะแขนงนี้ผ่านวาทกรรมต่างๆ อยู่เสมอ”
หากย้อนกลับมามองรายการลูกทุ่งต่างๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามักมาพร้อมกับความจน ความยากไร้ หรือความเป็นวัฒนธรรมไทยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต้องมาแข่งร้องเพลงลูกทุ่งเพื่อชิงรางวัลไปประทังชีวิต รักษาสมาชิกครอบครัวที่ล้มป่วย หรือเพื่อปลดหนี้
“เวลาเราดูรายการเหล่านี้ ถ้าเด็กคนไหนมาร้องเพลงลูกทุ่ง เขามักจะให้ใส่ชุดนักเรียนมา แต่ถ้าเมื่อไหร่มีความสามารถอื่นๆ ก็จะได้ใส่ชุดน่ารักๆ ดูบ้านมีฐานะไปซะงั้น” ครูโอ๋เสริม
เมื่อหันมามองวงตะแบกบาน เราได้เห็นภาพความจริงตรงหน้าที่มีความแตกต่างกับภาพที่เคยเห็นในโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง นักเรียนกว่า 30 ชีวิต รวมถึงคุณครูและบุคลากรที่ช่วยผลักดันวง ขนความทะเยอทะยานมาเต็มเปี่ยม แววตาสดใส จนเชื่อว่าไม่ว่าเวทีไหน น้องๆ ตะแบกบานก็พร้อมฟันฝ่า
“ถ้าหนูจบมัธยมไป อยากให้วงตะแบกบานมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่กลับมา หนูจะได้อุ่นใจ (ยิ้ม) แต่ตราบใดที่มีลูกทุ่ง ก็จะมีวงตะแบกบานต่อไป เพราะหนูเชื่อว่าลูกทุ่งไม่มีวันตายค่ะ”
สมาชิกวงตะแบกบานคนหนึ่งกล่าว
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากศิลปะลูกทุ่งได้รับการสนับสนุนที่ดีจากทุกภาคส่วน วงดนตรีอย่างตะแบกบาน คงจะได้ผลิดอกออกผลอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอฤดูผลิบาน
อ้างอิง
- ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์. อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาวาทวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สัมภาษณ์, 17 กันยายน 2566.
- ดวงรัตน์ ชีววิวรรธน์. คุณครูวิชานาฏศิลป์และผู้จัดการวงตะแบนบาน โรงเรียนศึกษานารี. สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2566.
- สมาชิกวงตะแบกบาน. นักเรียนโรงเรียนศึกษานารี. สัมภาษณ์, 17 กันยายน 2566.
- TODAY PLAY. (2565, 10 พฤศจิกายน). ‘ชิงช้าสวรรค์ 2022’ รอบรองชนะเลิศ ‘ชิงบัลลังก์’ 6 โรงเรียนสุดท้าย. https://workpointtoday.com/chingcha-sawan/.
เรื่อง : วรรณิกา อุดมสินวัฒนา
ภาพ : วรรณิกา อุดมสินวัฒนา
ยินดีต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการชิงช้าสวรรค์ หมุนติ้วๆ เวลาดี 16:30 ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี!
ก่อนที่รายการแข่งขันประกวดร้องเพลงจะเกิดขึ้นอย่างมากมายและเป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้ ทั้งการเฟ้นหาทีป็อปไอดอลอย่าง 789 Survival หรือรายการ Girl Group Star ที่เป็นจุดกำเนิดของวงเกิร์ลกรุ๊ปไทยอย่าง ‘4EVE’ เป็นต้น เชื่อว่าใครหลายคนต้องเคยได้ยินประโยคข้างต้นจากหน้าโทรทัศน์ ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
ชิงช้าสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งรายการประกวดแข่งขันที่โด่งดังมากว่าสิบปี โดยมีเอกลักษณ์คือผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นวงดนตรีลูกทุ่งจากระดับมัธยมศึกษา ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวีในพ.ศ.2547 ภายหลังย้ายไปช่องเวิร์กพอยต์ในพ.ศ.2558
ปัจจุบัน ชิงช้าสวรรค์ยังคงหมุนต่อไปดังชื่อรายการ ทว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัย โดยมีการตระเวนไปตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจาก 5 จังหวัดของแต่ละภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช แล้วคัดเลือกวงดนตรีลูกทุ่งระดับมัธยมศึกษา 20 ทีมเพื่อประกวดในระดับประเทศ ซึ่งทีมที่ชนะการประกวดจะได้ครองถ้วยพระราชทาน พร้อมทุนการศึกษา 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี รายการชิงช้าสวรรค์จะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าหากขาดตัวแปรสำคัญอย่างผู้เข้าร่วมแข่งขัน หรือ ‘กลุ่มนักเรียนมัธยม’ เนื่องจากนักเรียนจากหลากหลายพื้นที่ทั่วไทยได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ อีกทั้งยังใช้เวลาพักผ่อนในช่วงปิดเทอมไปกับการฝึกซ้อมเพื่อมาแข่งประกวดรายการดังกล่าว
วันนี้ นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสเข้าใกล้เส้นทางความฝันของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมากขึ้น เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือตึกใหญ่สีขาว หน้าตึกมีธงชาติตั้งตรงตระหง่าน สถานที่นี้คงเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากโรงเรียน และที่นี่คือโรงเรียนศึกษานารี
ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ หรือครูโอ๋ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิษย์เก่าโรงเรียนศึกษานารี เล่าให้ฟังถึงความสามารถของคณะวงดนตรีศึกษานารี
นอกเหนือจากความโดดเด่นในด้านวิชาการของโรงเรียนศึกษานารีแล้ว อีกด้านหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือประวัติวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนที่มีมายาวนานกว่าสิบปี
ย้อนกลับไปในพ.ศ. 2549 โรงเรียนศึกษานารีได้เข้าร่วมรายการชิงช้าสวรรค์เป็นครั้งแรก และได้คว้าแชมป์ประจำฤดูมาครอง ในพ.ศ. 2550 ศึกษานารีก็ได้ตำแหน่งรองแชมป์ประจำฤดูไปครอง ทว่าในเวลาถัดมา โรงเรียนก็ทิ้งช่วงจากรายการแข่งขันไปสักพักเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ
จนกระทั่งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ศึกษานารีก็มีโอกาสได้เข้าร่วมแข่งรายการชิงช้าสวรรค์อีกครั้ง การแข่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งนี้
หน้าห้องประชุมขนาดเกือบ 30 ตารางเมตร ก่อนเปิดประตูเข้าไป ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงดังทะลุออกมา
ตะแบกบาน
“สวัสดีค่า วงตะแบกบานค่า” เหล่าเด็กผู้หญิงกว่า 30 ชีวิต กล่าวทักทายผู้มาเยือนอย่างพร้อมเพรียง
“ชื่อวง ‘ตะแบกบาน’ มาจากชื่อดอกตะแบก ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียนของศึกษานารีค่ะ” คุณครูดวงรัตน์ ชีววิวรรธน์ คุณครูวิชานาฏศิลป์ที่ควบตำแหน่งผู้จัดการวงตะแบกบานเล่าให้ฟัง
ห้องประชุมขนาดใหญ่ มีที่กว้างมากพอจะแบ่งเป็นสองโซน โซนหนึ่งสำหรับกลุ่มวงดนตรี และโซนหนึ่งสำหรับกลุ่มแดนเซอร์ เราเห็นเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดีดอย่างกีตาร์ เครื่องตีอย่างกลอง รวมถึงเครื่องเป่าลมไม้และเครื่องเป่าลมทองเหลืองอย่างทรัมเป็ตหรือทรอมโบน
“เวลาเราร้องเพลงไทยสากล บางทีใช้เครื่องดนตรีสี่ชิ้นก็สมบูรณ์แล้ว เปียโน กลอง กีตาร์ เบส แต่วงลูกทุ่งเขาเรียกว่า Big Band ต้องยิ่งใหญ่ อลังการ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องเป่าด้วย ฉะนั้นถ้าเสียงของนักร้องไม่แข็งแรงพอ อาจจมไปกับดนตรีได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่ทุกคนฝึกซ้อมมาอย่างดี นักร้องร้องถึง วงลูกทุ่งก็จะมีพลังมากๆ” ครูโอ๋จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงศักยภาพของวงดนตรีลูกทุ่ง
ระหว่างการซ้อม เสียงดนตรีดังเซ็งแซ่ที่ได้ยินก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอลังการที่ครูโอ๋เล่าให้ฟังได้เป็นอย่างดี
ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องประชุมก็ไม่หยุดอยู่นิ่ง ทีมแดนเซอร์ ฉีกแข้ง ฉีกขา ยืดเหยียดร่างกายไปตามเสียงเพลงอยู่เรื่อยๆ ขณะนั้นเอง ครูดวงรัตน์ หรือผู้จัดการวงตะแบกบานก็ได้เล่าให้เราฟังถึงตารางการซ้อมอันหนักหน่วงในช่วงปิดเทอมนี้
“สำหรับช่วงตุลาคม วงตะแบกบานกำลังซ้อมสำหรับงานศิลปหัตถกรรม (นักเรียน) ครั้งที่ 71 ปีการศึกษา 2566 ค่ะ เป็นรายการที่ศึกษานารีไปแข่งทุกปี ช่วงนี้ปิดเทอมก็จะซ้อมทุกวันเลย ตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น แต่ถ้าช่วงใกล้แข่งมากๆ ก็จะขอผู้ปกครองไว้ถึงสัก 2-3 ทุ่มเลย”
ครูดวงรัตน์ยังเพิ่มเติมอีกว่า องค์ประกอบของวงลูกทุ่งแบ่งเป็นสามฝ่ายใหญ่ๆ ส่วนแรกคือนักร้อง ส่วนที่สองคือนักดนตรี และส่วนที่สามคือแดนเซอร์
ซึ่งขั้นตอนทำงานจะแบ่งเป็นช่วงๆ โดยในช่วงแรก วงดนตรีจะต้องตัดสินใจเลือกเพลงและคอนเซปต์การแสดงร่วมกัน หลังจากนั้น แต่ละฝ่ายจะแยกย้ายกันซ้อม ฝั่งนักดนตรีจะเขียนโน้ต ปรับโน้ต และนำมาพูดคุยต่อยอดกับนักออกแบบท่าเต้นเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน นักออกแบบท่าเต้นจะไปคิดการแสดงและนำมาสอนเหล่าแดนเซอร์ในช่วงเวลาถัดมา ส่วนนักร้อง ก็จะทำงานในส่วนของการร้อง การใช้เสียง และการตีความความหมายเพลง
เหล่ามวลดอกไม้
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศการซ้อมของน้องๆ แดนเซอร์จำนวน 13 คน ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ในจำนวน 13 คนนี้ มีการคละนักเรียนตั้งแต่ม.1 – ม.5 บางคนเคยอยู่ชุมนุมวงดนตรีลูกทุ่งมาหลายปีแล้ว ส่วนบางคนก็เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน แต่ละคนมีประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป ทว่าสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ใจรักในการเต้น
“อย่างหนูเคยรำมาก่อน แล้วก็มาลองโคเวอร์แดนซ์ต่อ ก็เลยรู้สึกว่าชุมนุมนี้น่าจะใช่ทางเรา แถมยังได้ท้าทายตัวเองด้วย เพราะมันมีพวกท่ายิมนาสติกที่เราไม่เคยทำ”
“ส่วนหนูชอบเต้นเล่นๆ ขำๆ ที่บ้าน แต่ว่าชอบฟังเพลงลูกทุ่ง ก็เลยเข้าชุมนุมค่ะ”
น้องๆ เล่าให้เราฟังถึงเส้นทางก่อนจะมาเข้าวงตะแบกบาน และยังได้เพิ่มเติมถึงวิธีการคัดเลือกแดนเซอร์เข้าชุมนุม โดยทางคุณครูประจำชุมนุมจะพิจารณาจากพื้นฐานการเต้น และท่าเบสิก แต่สิ่งสำคัญที่สุดในเกณฑ์การพิจารณาก็คือ ‘ใจรัก’ เนื่องจากวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนมีตารางการซ้อมที่ค่อนข้างหนัก จำเป็นต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ หากเต้นเก่งแค่ไหน แต่ไม่มีแรงใจมากพอก็อาจจะล้มเลิกระหว่างทางได้
“ถ้าพอเต้นได้ผ่านขั้นพื้นฐานก็ผ่านค่ะ ส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ค่อยมาฝึกตอนเข้าชุมนุมก็ได้ แต่ที่สำคัญคือขอคนที่แพสชัน พร้อมให้ใจ เพราะมาแข่งอะไรพวกนี้มันเหนื่อย” นักเรียนอธิบายเพิ่ม
เมื่อเข้ามาด้วยแรงกายแรงใจเต็มเปี่ยม แล้วมีช่วงที่ท้อบ้างไหม?
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ต่อด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ
“เพราะตารางของเราในหนึ่งวันค่อนข้างแน่น เริ่มตั้งแต่วิ่งรอบสนามสักสิบรอบตอน 8 โมงเช้า เข้ามายืดเส้นยืดสายถึง 10 โมง แล้วก็ซ้อมท่าเทคนิค ตีลังกา ฉีกขา แล้วก็เก็บรายละเอียดท่าไปเรื่อยๆ พอทำซ้ำๆ ติดๆ กันหลายวันก็จะล้าบ้าง”
“อีกช่วงที่เหนื่อยที่สุดคือช่วงสอบ เพราะต้องแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือ เข้ามาแรกๆ ก็จะยังไม่ชิน ปรับตัวไม่ถูก แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้าที่ค่ะ”
ในบางที เราก็อาจจะหลงลืมไปว่าการเป็นนักเรียนมัธยมมันเหนื่อยกว่าที่คิด แต่สิ่งหนึ่งที่น้องๆ วงตะแบกบานทำเสมอเมื่อเจอปัญหา คือ การนั่งล้อมวงคุยกัน แบ่งปันปัญหาที่เจอ แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่อย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าปัญหาเหล่านี้ พร้อมมีคนรับฟังเสมอ
อีกฝั่งของห้องประชุม เสียงดนตรีก็ยังไม่เงียบลง ครูดวงรัตน์เล่าให้เราฟังว่าแต่ละฝ่ายจะมีครูเฉพาะทางมาดูแล ครูนาฏศิลป์สำหรับนักเต้น ครูดนตรีสากลสำหรับนักดนตรี นอกจากนี้ ก็ยังมีการเชิญวิทยากรที่มีความสามารถเฉพาะทางมาให้ความรู้เพิ่ม บ้างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ บ้างก็เป็นศิษย์เก่าที่เคยผ่านสนามแข่งมาหลายครั้ง
เมื่อช่วงเวลาพักเบรกมาถึง เหล่าน้องๆ นักดนตรีพากันไปตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำหวาน หยิบขนมมาเติมพลัง ระหว่างรับประทานขนมจุกจิก หนึ่งในนักดนตรีก็เล่าให้ฟังเพิ่มเติมถึงตารางการซ้อมที่เกิดขึ้นภายใต้ระยะเวลาที่มีจำกัด
“ส่วนมากรายการลูกทุ่งต่างๆ เขาจะกำหนดให้แข่งทั้งหมด 2 เพลง เป็นเพลงช้ากับเพลงเร็ว เราก็ต้องพยายามทำให้ดีทั้งคู่ เวลาซ้อมก็มีไม่เยอะ ประมาณเดือนสองเดือนเองค่ะ เริ่มจากแยกกันซ้อมตามประเภทเครื่องดนตรีก่อน แล้วก็มาเล่นรวมกัน พอเล่นรวมเสร็จ ก็มาดูรายละเอียดว่าแต่ละฝ่ายสามารถแก้อะไรได้บ้าง ค่อยๆ แก้กันไปทีละนิด มันก็จะค่อยๆ สมบูรณ์มากขึ้น”
“ยิ่งตอนชิงช้าสวรรค์ซ้อมหนักกว่าเวทีอื่นมาก ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นเวทีใหญ่ มีอัดนู่น อัดนี่ มีฉาก พร็อพ อลังการสุดๆ แถมเก็บตัวเยอะกว่าการแข่งเวทีอื่นมากๆ ช่วงนั้นคือเจอหน้าคนในวงแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย ก่อนนอนก็เจอ ตื่นมาก็เจออีก” น้องๆ เล่าไป หัวเราะไป
แม้เรื่องราวที่เล่าจะมีแต่ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่แววตาสดใสของน้องๆ ก็สะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้ต้องเจอสถานการณ์ลำบากแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะผ่านมันไป หากมีกันและกัน
“วงตะแบกบานเป็นเหมือนครอบครัวไปแล้ว ทั้งนักร้อง แดนเซอร์ นักดนตรีสนิทกันหมดเลย”
เมื่อต้นตะแบกผลิดอกออกผลเป็นนักเรียนที่มากด้วยความสามารถ เต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน ซึ่งหากใครได้พบเห็นคงอดไม่ได้ที่จะต้องเอาใจช่วยวงดนตรีลูกทุ่งประจำโรงเรียนศึกษานารีแห่งนี้
ฤดูผลิบาน
เรื่องราวดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ หรือครูโอ๋ เนื่องจากครูโอ๋เชื่อว่าลูกทุ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สมควรได้รับการเชิดชูไม่ต่างจากศิลปะแขนงอื่นๆ และที่สำคัญ เธอก็เชื่อว่าลูกทุ่งไม่จำเป็นต้องผูกโยงเข้ากับคำว่า ‘วัฒนธรรมไทย’ เสมอไป
นอกจากนี้ ครูโอ๋ยังได้เสริมเพิ่มเติมอีกว่า สุดท้ายแล้ว ดนตรีลูกทุ่งคือสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราที่ถูกนำมาเล่าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึง สายลม แสงแดด ธรรมชาติ ความรัก หรือความเสียใจ การเกิดขึ้นของเวทีเหล่านี้ก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนมาแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ลูกทุ่งไทยยังไม่สามารถไปไกลได้เท่าที่ควร
“จริงๆ ครูพูดได้เลยว่าลูกทุ่งคือคำว่า ซอฟต์ (Soft) แต่ยังไม่มีคำว่า พาเวอร์ (Power) มาต่อท้าย เพราะตอนนี้มันเป็นเพียงศิลปะที่รอใครสักคนมาหนุนให้มันไปข้างหน้า แต่ทั้งผู้ผลิตสื่อเอง รัฐบาลเอง ก็ยังทำให้ลูกทุ่งเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมของต่างจังหวัด หรือยังติดแนวคิดว่าใครมาประกวดรายการลูกทุ่งจะต้องมาจากครอบครัวที่ยากจน ทั้งๆ ที่ศิลปะมันดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ผู้คนต่างหาก ที่กดศิลปะแขนงนี้ผ่านวาทกรรมต่างๆ อยู่เสมอ”
หากย้อนกลับมามองรายการลูกทุ่งต่างๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามักมาพร้อมกับความจน ความยากไร้ หรือความเป็นวัฒนธรรมไทยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต้องมาแข่งร้องเพลงลูกทุ่งเพื่อชิงรางวัลไปประทังชีวิต รักษาสมาชิกครอบครัวที่ล้มป่วย หรือเพื่อปลดหนี้
“เวลาเราดูรายการเหล่านี้ ถ้าเด็กคนไหนมาร้องเพลงลูกทุ่ง เขามักจะให้ใส่ชุดนักเรียนมา แต่ถ้าเมื่อไหร่มีความสามารถอื่นๆ ก็จะได้ใส่ชุดน่ารักๆ ดูบ้านมีฐานะไปซะงั้น” ครูโอ๋เสริม
เมื่อหันมามองวงตะแบกบาน เราได้เห็นภาพความจริงตรงหน้าที่มีความแตกต่างกับภาพที่เคยเห็นในโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง นักเรียนกว่า 30 ชีวิต รวมถึงคุณครูและบุคลากรที่ช่วยผลักดันวง ขนความทะเยอทะยานมาเต็มเปี่ยม แววตาสดใส จนเชื่อว่าไม่ว่าเวทีไหน น้องๆ ตะแบกบานก็พร้อมฟันฝ่า
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากศิลปะลูกทุ่งได้รับการสนับสนุนที่ดีจากทุกภาคส่วน วงดนตรีอย่างตะแบกบาน คงจะได้ผลิดอกออกผลอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอฤดูผลิบาน
อ้างอิง
Share this: